บทที่ 4

บทที่4

 มนุษย์จะกลับมาหาพระเจ้าได้อย่างไร?
    
    เราได้ศึกษาจากบทที่แล้วเป็นที่เข้าใจว่า มนุษย์ทั้งหลายมีจุดเริ่มจากที่เดียวกันทุกชาติทุกภาษาเป็นพี่น้องกัน  ประวัติศาสตร์ได้สนับสนุนความจริงข้อนี้  แต่เนื่องจากมนุษย์ได้กระจัดกระจายไปทั่วโลก   เป็นประเทศต่าง ๆ บรรดามนุษย์ได้หลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงเนรมิตสร้างมนุษย์ตั้งแต่เดิม  ไปนับถือรูปปั้นต่าง ๆ บ้างก็นับถือดวงอาทิตย์,  ดวงดาวต่าง ๆ  ต้นไม้  ภูเขา  บ้างก็นับถือมนุษย์  มนุษย์ได้หลงไปไกลมากจนไม่สามารถหันกลับมาหาพระเจ้าอีก  มนุษย์จะกลับไปหาพระเจ้าได้อย่างไร

การพลาดล้มของมนุษย์
    ในเยเนซิศบทที่ 3  อาดามและฮาวาได้ละเมิดคำตรัสสั่งของพระเจ้า  เยเนซิศ 3.1-13 นี้  ได้ชี้แจงเกี่ยวกับการที่มนุษย์ได้สะดุดล้มลงครั้งแรกการที่มนุษย์ทำผิดนี่เอง  ทำให้เขาต้องแยกออกจากพระเจ้า  พระเจ้าตรัสว่า "เราจะบันดาลให้เจ้า (ซาตาน) กับหญิงนี้ ทั้งเผ่าพันธุ์ของเจ้า (ซาตาน) กับเผ่าพันธุ์ของเราเป็นศัตรูกัน  เผ่าพันธุ์ (เอกพจน์) ของหญิงจะทำหัวของเจ้า (ซาตาน) ให้ฟกช้ำ  แล้วเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ..." (เยเนซิศ 3.15)  ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เปิดเผยให้เห็นคำพยากรณ์หรือพระสัญญาของพระเจ้าจะส่งเชื้อสาย (เอกพจน์) ของฮาวา (ซึ่งในภาษาเฮ็บรายเล็งถึงบุคคลคนเดียว)  มาช่วยให้มนุษย์โลกหันกลับเป็นไมตรีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งในอนาคตข้างหน้า  โดยการปลดเปลื้องบาปของมนุษย์เอาไปเสียให้พ้น  ผู้ทรงคุณวุฒิในทางพระคัมภีร์ต่างเห็นพ้องกันว่าข้อความในเยเนซิศ 3.15 คำว่า "พงศ์พันธุ์" ในที่นี้เล็งถึงพระเยซูคริสต์  ซึ่งจะมาเป็นผู้กำจัดอำนาจของซาตานให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
    ต่อจากสมัยของอาดามกับฮาวาแล้วมนุษย์ก็ได้เพิ่มขึ้นในโลกนี้เป็นทวีคูณ  แต่ความประพฤติของมนุษย์ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความชั่วทั้งสิ้น   โมเซได้เปิดเผยให้เราทราบว่า พระเจ้าได้ทำลายล้างโลกด้วยน้ำเหลือแต่ครอบครัวของโนฮาเท่านั้นที่รอดอยู่ได้

อับราฮามบิดาแห่งความเชื่อ
    หลังจากสมัยของโนฮาแล้ว  พระเจ้าเห็นว่ามนุษย์ประพฤติตามราคะตัณหาของตนเอง  เขาหาได้นับถือพระเจ้าไม่  ชนชาติต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ที่แผ่นดินบาบิโลน (บางทีเรียกว่าพวกคาลเดียน)  ที่อียิปต์ หรือพวกที่อพยพไปอยู่บริเวณอื่นก็ดี  ชนชาติเหล่านี้ได้ลืมพระเจ้า  แต่ท่ามกลางมนุษย์โลกทั้งหลายที่หลงไปจากพระเจ้า  มีชายคนหนึ่งที่ยังรักษาความเชื่ออันแท้เกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ได้  เขายังนมัสการพระองค์อยู่  เขามิได้เหินห่างไปจากพระเจ้า  ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางชนชาติที่นับถือศาสนาป่าเถื่อนก็ตาม  ชายคนนี้คืออับราฮาม  อับราฮามอาศัยอยู่ในแผ่นดินของจักรพรรดิฮัมมารูบีแห่งอาณาจักรบาบิโลน 2500 ก.ค.ศ.  บ้านของเขาอยู่ที่เมืองอุระ  นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบตัวเมืองอุระที่จมอยู่ใต้ดิน  เผยให้เราทราบว่าเมืองอุระเป็นเมื่อที่มีความสำคัญมากในสมัยอับราฮาม
    พระเจ้าได้เลือกอับราฮามคนเดียวในเวลานั้น  เพราะไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่จงรักภักดีต่อพระองค์ดีเหมือนอับราฮาม  พระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮามสามประการคือ
    (1) จะให้เขาเป็นประเทศใหญ่
    (2) จะให้แผ่นดินเป็นมรกดสำหรับลูกหลาน
    (3) พงศ์พันธุ์ (เอกพจน์)  ของอับราฮามจะทำให้โลกได้รับพระพร (อ่านเยเนซิศ 12.2-3) "เราจะให้ตระกูลของเจ้าเป็นประเทศใหญ่  เราจะอวยพรให้เจ้า  จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่เลื่องลือไป  เจ้าจะเป็นที่ให้เขาเจริญขึ้น เราจะอวยพรแก่คนที่อวยพรให้เรา   เราจะแช่งสาปคนที่แช่งและบรรดาพงศ์พันธุ์ของมนุษย์โลกจะได้พระพรเพราะเจ้า"
    คำสัญญานี้พระเจ้าได้กล่าวย้ำกับยิศฮาค,  ยาโคบ  และโยเซฟ  ซึ่งเป็นลูกหลานของอับราฮามอีก (เยเนซิศ 28.13-14)  คำสัญญาทั้งสามประการได้สำเร็จครบไปแล้ว  คืออับราฮามได้มีลูกหลานมากจนได้เป็นประเทศใหญ่เรียกว่ายิศราเอล  ได้แผ่นดินคะนาอันหรือปาเลสไตน์เป็นมรดก  ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้สมัยที่อาณาจักรรุ่งเรืองที่สุดคือสมัยของกษัตริย์ซะโลโม  ประมาณ ก.ค.ศ.973  และคำสัญญาประการที่สามทั่วโลกจะได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณจิตก็ได้สำเร็จในองค์พระเยซูคริสต์  "แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว  พระเจ้าจึงทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา" (ฆะลาเตีย 4.4)  พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยของโลก  เพราะฉะนั้นพระเยซูเป็นผู้ที่จะให้โลกได้รับพระพร
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 4  คลิกที่นี่

บทที่5