บทที่ 6

บทที่6 

จุดประสงค์ของบัพติศมา

    การที่บุคคลจุ่มลงในน้ำมีจุดประสงค์ มีเหตุผลอะไร มีความหมายและความสำคัญอย่างไร  ถ้าจะเป็นคริสเตียนไม่ต้องจุ่มในน้ำไม่ได้หรือ  การรับบัพติศมานี้มีความสำคัญมาก ถ้าเราปฏิเสธการรับบัพติศมาก็เท่ากับว่าเราปฏิเสธพระเจ้า  ปฏิเสธพระเยซูและคำสั่งสอนของพระเยซู  และปฏิเสธโครงการแห่งความรอดที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ก่อนสร้างโลก  การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเป็นการไร้ประโยชน์  พระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งไหลเพื่อคนเป็นอันมากก็ไม่มีความหมาย   โปรดพิจารณาดูข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ซึ่งชี้แจงจุดประสงค์การรับบัพติศมา ดังต่อไปนี้

 
    ก. เพื่อความรอดบาป  มาระโก 16.15-16
    ข. เพื่อความผิดบาปจะยกเสีย  กิจการ 2.38
    ค. เพื่อลบล้างความผิดบาป  กิจการ 22.16
    ง. เพื่อรอด  1เปโตร 3.21
    จ. เพื่อความชื่นชมยินดี  กิจการ 8.39
    ฉ. เพื่อเข้าส่วนในความตายของพระเยซู  โรม 6.3-5  "ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ ได้รับบัพติศมานั้นเข้าส่วนในความตายของพระองค์  เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายก็ถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยบัพติศมาเข้าส่วนในความตายนั้น เพื่อพระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระรัศมีของพระบิดาเจ้าอย่างไร เราทั้งหลายจะได้ประพฤติตามชีวิตใหม่อย่างนั้น  เพราะว่าถ้าเราร่วมสนิทกับพระองค์แล้วโดยได้ตายเหมือนอย่างพระองค์ เราคงจะร่วมสนิทกับพระองค์โดยได้เป็นขึ้นมา เหมือนอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นด้วย"
 
    พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เราตายแก่การบาป   คำว่าตายแก่การบาปหมายความว่าเราไม่เป็นทาสของความบาปต่อไป  ไม่กระทำบาป  และเมื่อพระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์  เราก็ถูกฝังไว้ในน้ำ  เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากตายหลังจากที่ถูกฝังแล้วสามวัน  เราก็ขึ้นมาจากน้ำเป็นคนใหม่เหมือนที่พระเยซูได้ทรงเอาชนะความตาย  ตั้งแต่นั้นมาเราก็ตั้งต้นชีวิตใหม่  เป็นคนใหม่มิใช่เป็นคนบาปต่อไป  เป็นคริสเตียนและเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์
    ช. เพื่อตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์  ฆะลาเตีย 3.24 "เหตุว่าคนทั้งหลายที่รับบัพติศมาเข้าสนิทกับพระคริสต์แล้ว ก็ได้ตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์"  ข้อความนี้ชี้แจงว่าเมื่อเรารับบัพติศมาแล้วเราก็ตกแต่งตัวเราเสียใหม่เป็นเหมือนพระเยซู  ทำไมต้องเป็นเหมือนกับพระเยซู  เพราะพระเยซูทรงเป็นตัวอย่างอันดีแก่เราทั้งหลาย  ชีวิตของพระเยซูเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์  เราก็คงรจะตกแต่งตัวของเราเหมือนกับพระเยซู


ตัวอย่างการับบัพติศมาซึ่งเราอ่านพบได้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์

    หนังสือกิจการเป็นหนังสือที่น่ายแพทย์ลูกาได้เขียนขึ้นเพื่อจะชี้แจงว่าบรรดากิจการของคริสตจักรกระทำกันอย่างไรบ้าง  รวมทั้งสอนว่าเมื่อบุคคลจะเป็นคริสเตียนเขากระทำกันอย่างไร
    (1) ประชาชนทั้งหลายในวันเพ็นเทศเต  เมื่อ ค.ศ. 33 รับบัพิตศมา 3,00 คน ในวันเดียว  กิจการ 2.41
    (2) ชาวซะมาเรียนได้รับบัพิตศมา  กิจการ 8.13
    (3) ขันทีรับบัพติศมา  กิจการ 8.36-39
    (4) เซาโลแห่งเมื่อตาระโซรับบัพติศมา  กิจการ 9.18
    (5) โกระเนเลียว  นายร้อยประจำอยู่ที่กายซาไรอา รับบัพติศมา  กิจการ 10.47-48
    (6) นางลุเดีย ได้รับบัพิตศมา  กิจการ 16.15
    (7) นายคุกที่เมืองฟิลิปปอยรับบัพิตศมา  กิจการ 16.33
    (8) ชาวโกรินโธรับบัพิตศมา  กิจการ 18.8
    (9) ชาวเอเฟโซรับบัพติศมา  กิจการ 19.5
    ตัวอย่างทั้งหมดที่นำมากล่าวในที่นี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้มีความประสงค์อยากจะเป็นคริสเตียนจำเป็นต้องรับบัพติศมาทุกราย  ไม่มีรายไหนที่ยกเว้น  เพราะฉะนั้นเราจึงสรุปได้ว่าการรับบัพติศมามีความสำคัญมากในการยอมรับบุคคลเข้าเป็นคริสเตียน  พระเยซูตรัสว่า  "เราบอกท่านตามจริงว่าถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำ และพระวิญญาณจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้"  (โยฮัน 3.5)  ข้อนี้สอนว่าการบังเกิดด้วยน้ำเป็นสิ่งจำเป็น   และในกิจการ 2.47 "ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลาย ซึ่งกำลังจะพ้นความผิดบาปของตนมาเข้ากับจำพวกสาวกทวีขึ้นทุกวัน ๆ"  ข้อนี้ชี้แจงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้ผู้ที่รับบัพติศมาแล้วเข้าไปสู่พระราชอาณาจักรของพระองค์  บุคคลที่ได้รับบัพติศมาแล้วพระเจ้าได้ทรงโปรดย้ายเขาให้ออกจากอาณาจักรความมืดเข้าในอาณาจักรแห่งความสว่าง   และในโกโลซาย 1.13-14  กล่าวว่า "ได้ทรงช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์  ในพระองค์นั้นเราทั้งหลายจึงได้รับการไถ่ คือทรงโปรดยกความผิดทั้งหลายของเรา"

หลังจากรับบัพติศมาต้องทำอะไรอีก
    หลักจากที่บุคคลได้รับบัพติศมาแล้ว เขาก็ได้รับความรอด  เขาถูกเรียกว่าเป็นคริสเตียน  เป็นบุตรของพระเจ้า  ฆะลาเตีย 4.7  "เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่ได้เป็นทาสต่อไปแต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านจึงเป็นทายาทโดยอาศัยพระเจ้า"  การรับบัพติศมามิใช่เป็นการสิ้นสุด  การรับบัพติศมาเป็นการเริ่มต้น  คล้ายกลับทารกที่บังเกิดใหม่ในครอบครัวของพระเจ้า  ทารกจะวัฒนาเป็นผู้ใหญ่ต้องใช้เวลานาน  ต้องทานอาหาร  ต้องออกกำลังกาย  ด้วยความรักจากพ่อแม่  เด็กทารกก็จะวัฒนาขึ้นเป็นผู้ใหญ่ฉันใดก็ดีชีวิตคริสเตียนก็เหมือนกัน  เมื่อบุคคลใดเป็นคริสเตียนแล้ว  พระเจ้าปรารถนาที่จะให้บุคคลนั้นเจริญขึ้น  มีความเชื่อ  มีความรัก  มีความเพียร  และคุณสมบัติอื่น ๆ อีก  พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่า  "อันที่จริงเพราะเหตุนั้นเอง ท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาความเชื่อเพิ่มด้วยความดี เอาความดีเพิ่มด้วยความรู้  เอาความรู้เพิ่มด้วยความเหนี่ยวรั้งตน เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มด้วยขันตี และเอาขันตีเพิ่มด้วยธรรม  เอาธรรมเพิ่มด้วยความรักระหว่างพวกพี่น้อง และเอาความรักระหว่างพวกพี่น้องเพิ่มด้วยความรักระหว่างคนทั่วไป  ถ้ามีใจอย่างนั้นอยู่ในท่านทั้งหลายพร้อมบริบูรณ์แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านขวนขวายและเกิดผลในความรู้จักพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยว่าผู้ใดที่ขาดสิ่งเหล่านั้นเป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมการซึ่งชำระความผิดของตนเมื่อก่อนนั้นเสียแล้ว  เหตุฉะนั้นดูก่อนพวกพี่น้องทั้งหลาย จงยิ่งอุตส่าห์กระทำให้การที่พระเจ้าทรงเรียก และเลือกท่านไว้แล้วนั้นให้ถึงที่สำเร็จแน่นอน ด้วยว่าถ้าได้ประพฤติเช่นนั้นท่านจะไม่สะดุด  ด้วยว่าอย่างนั้นแหละท่านทั้งหลายจะได้มีสิทธิสมบูรณ์ ที่จะเข้าในนิตยภูมิของพระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นที่รอดของเรา" (1เปโตร 1.5-11)  ข้อความนี้สอนว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนจะต้องเพิ่มเติมคุณสมบัติทีละขั้น ๆ เมื่อมีคุณสมบัติครบก็หมายความว่าจะไม่เป็นคนตาบอดตาสั้นในฝ่ายวิญญาณจิต  สิ่งสำคัญที่พระเยซูสอนคือว่า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีอานุภาพมาก  เป็นศาสนาที่เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้  ศาสนาคริสต์ไม่ใช่เป็นแต่เพียงพิธีรีตองเท่านั้น  ฉะนั้นทุกสิ่งที่พระเยซูสอนไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์  คริสเตียนทุกคนควรปฏิบัติตาม  ผู้ที่รับบัพติศมาแล้วมีข้อแนะนำดังต่อไปนี้  ถ้าสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ก็จะช่วยให้บุคคลนั้น ๆ เป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์ได้
    1. จะละประถมโอวาทตอนต้น ๆ  เฮ็บราย 6.1-3 "เหตุฉะนั้นให้เราละประถมโอวาทของพระคริสต์ไว้ และให้เราก้าวหน้าไปถึงความบริบูรณ์ อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาวางเป็นรากอีกเลย คือการกลับใจเสียใหม่จากการประพฤติที่ตายแล้ว และความเชื่อในพระเจ้า  และคำสอนว่าด้วยบัพติศมา และการวางมือ และการเป็นขึ้นมาจากตาย และการพิพากษาปรับโทษเป็นนิตย์นั้น  ถ้าพระเจ้าจะทรงโปรดอนุญาต เราก็จะกระทำอย่างนี้ได้"  จากข้อความนี้ชี้แจงว่าเมื่อบุคคลรับบัพติศมาแล้วเขาควรจะละประถมโอวาทเดิม  ก้าวหน้าต่อไปถึงความบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์เจ้า  บางคนเป็นคริสเตียนเป็นเวลาหลายปี แต่ความเชื่อยังไม่จำเริญขึ้น  บางคนก็กลับไปกระทำผิดอีกเป็นที่อับอายขายหน้าแก่พระเยซูและแก่ผู้ที่เป็นพี่น้องคริสเตียน
    2. ควรดำเนินอยู่ในความสว่าง    1โยฮัน 1.7  " แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์สถิตอยู่ในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ได้ทรงชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น"  ข้อความนี้ชี้แจงว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้วจำเป็นต้องดำเนินอยู่ในความสว่าง  ประพฤติตนเป็นคนชอบธรรม  ไม่สนใจเรื่องราคะตัณหาฝ่ายโลกนี้  1โยฮัน 2.15 "อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าคนใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย"   ตราบใดที่บุคคลดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ซาตานซึ่งเป็นอำนาจชั่วไม่สามารถต่อสู้กับเราได้   1โยฮัน 5.18 "เราทั้งหลายรู้แล้วว่าคนใดที่บังเกิดจากพระเจ้าไม่ได้มีปกติกระทำบาป แต่ว่าคนที่บังเกิดจากพระเจ้าได้ระวังรักษาตัว และมารนั้นไม่ได้แตะต้องคนนั้นเลย"
    3. ต้องศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ทุกวัน  พระเยซูตรัสว่า  "ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า มีคำเขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้แต่ด้วยบรรดาโอวาท ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า"  (มัดธาย 4.4)  การศึกษาหาความรู้จะทำให้เราเข่าใจถึงพระประสงค์พระเจ้าดีขึ้น  ความรู้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เพิ่มเติมความเชื่อของเรามากยิ่งขึ้น  ศาสนาคิรสต์มิใช่เป็นศาสนาท่องบ่น  แต่เป็นศาสนาที่สอนให้คนรู้จักก้าวหน้าค้นคว้าหาความรู้เสมอ  เปาโลกล่าวว่า  "ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องกิตติคุณของพระคริสต์ เพราะว่ากิตติคุณนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าให้คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นได้ถึงที่รอดทุกคน พวกยูดายก่อน ทั้งพวกเฮเลนด้วย"  (โรม 1.16)  ข้อความนี้ชี้แจงว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพลังที่จะนำบุคคลไปถึงซึ่งความรอดได้  และเมื่อได้รับความรอดแล้วพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็เป็นดุจอาหารที่จะเลี้ยงคริสเตียนให้เจริญขึ้น  "ดั่งทารกที่บังเกิดใหม่ ท่านทั้งหลายจงปรารถนาที่จะได้น้ำนมที่สมกับฝ่ายวิญญาณ และปราศจากอุบาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้วัฒนาขึ้นไปสู่ความรอดด้วยน้ำนมนั้น" (1เปโตร 2.2)
    4. ต้องอธิษฐานเสมอ  การอธิษฐานก็คือการสนทนากับพระเจ้านั่นเอง  1เธซะโลนิเก 5.17-18  "จงอธิษฐานเสมออย่าเว้น  จงขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ปรากฏในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย"  มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่สอนเรื่องการอธิษฐานอีกมาก  การอธิษฐานมีความสำคัญเท่า ๆ กับลมหายใจเข้าออกของเรา  การอธิษฐานไม่จำเป็นจะต้องทำเวลามาประชุมนมัสการพระเจ้า  แต่ทำที่ไหนก็ได้  พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการอธิษฐาน  "ในพวกท่านผู้ใดทนทุกข์หรือ  ก็ให้ผู้นั้นอธิษฐาน มีผู้ใดชื่นชมยินดีหรือ  ก็ให้ผู้นั้นร้องเพลงสรรเสริญ"  (ยาโกโบ 5.13)
    5. ต้องไปร่วมประชุมนมัสการกับพี่น้องคริสเตียนคนอื่นทุกครั้งที่มีการประชุม  พระเยซูตรัสว่า  "ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหน ๆ ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น"  (มัดธาย 18.20)  ทำไมการไปร่วมประชุมนมัสการจึงสำคัญ  การประชุมร่วมกับพี่น้องก็เพื่อหนุนน้ำใจซึ่งกันและกัน  เพื่อร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน  เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  เพื่อนมัสการพระเจ้า  เพื่อกระทำพิธีระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้า  (มัดธาย 26.26,  ลูกา 22.19-22,  1โกรินโธ 11.12-23)  เพื่อถวายทรัพย์ (1โกรินโธ 16.2)  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คริสเตียนกระทำกันเป็นประจำทุกวันอาทิตย์  เพราะเหตุนี้เองพระคริสตธรรมคัมภีร์จึงเน้นเรื่องการไปร่วมประชุมกับพี่น้องทุกครั้งที่มีการประชุมนมัสการ  เฮ็บราย 10.25 "ซึ่งเราเคยประชุมกันนั้นอย่าให้หยุด เหมือนอย่างบางคนเคยกระทำนั้น แต่จงเตือนสติกัน และให้มากยิ่งขึ้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว"
    6. ต้องสอนคนอื่นให้เป็นคริสเตียนด้วย  พระเยซูสั่งอัครสาวกใน มัดธาย 28.19-2 ให้เขาทั้งหลายออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศ  เขาทั้งหลายได้ออกไปแล้ว  ผลปรากฎว่ามีคริสเตียนมากมายในโลกนี้  ในทำนองเดียวกันเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนแล้วมีหน้าที่โดยตรงในการประกาศให้คนอื่นรู้ถึงเรื่องทางแห่งความรอดที่เราได้พบด้วยตัวของเราเอง  พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่า  "ด้วยว่าครั้นท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ยังต้องการให้คนอื่นสอนท่านอีก ให้รู้ถึงประถมโอวาทตอนต้น ๆ ของพระเจ้า และท่านทั้งหลายกลายเป็นคนที่ยังต้องการกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง  เพราะว่า ทุกคนที่ยังกินน้ำนมอยู่ ไม่เป็นคนชำนาญในถ้อยคำแห่งความชอบธรรม ด้วยว่าเขายังเป็นทารกอยู่  แต่อาหารแข็งนั้น เป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ คือผู้ที่เคยฝึกหัดความคิดของเขา จนสังเกตได้ว่า ไหนดีไหนชั่ว" (เฮ็บราย 5.12-14)  ข้อนี้สอนว่าบุคคลที่เป็นคริสเตียนมานานแล้วควรจะสามารถสอนคนอื่นได้  แต่ยังหย่อนสมรรถภาพไม่สามารถสอนคนอื่น  บุคคลที่ไม่สามารถสอนคนอื่นได้ก็เหมือนกับผู้ใหญ่ที่โตแล้วแต่ยังกินน้ำนมอยู่  และถ้าคริสเตียนไม่เกิดผลที่สุดก็จะต้องถูกตัดทิ้งและเผาไฟเสีย (โยฮัน 15.5-7)
    7. ต้องเป็นคนสัตย์ซื่อตราบเท่าวันตาย  "อย่ากลัวต่อเหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งเจ้าจะต้องทนเอา นี่แน่ะมารจะเอาพวกเจ้าบางคนใส่คุกไว้เพื่อจะได้ลองดูใจเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะได้รับทุกข์ลำบากถึงสิบวัน แต่เจ้าจงเป็นผู้สัตย์ซื่อตราบเท่าวันตาย และเราจะให้เจ้ามีมงกุฎแห่งชีวิต" (วิวรณ์ 2.10)  ไม่ว่าจะมีปัญหาสิ่งใดในชีวิต  คริสเตียนก็ควรจะตั้งมั่นคงอยู่ในความเชื่อตลอดไป  ข้อความสุดท้าย  "เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายที่รักของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายจงตั้งมั่นคงอยู่ อย่าสะเทือนสะท้าน จงกระทำการขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ด้วยว่าท่านทั้งหลายรู้ว่า โดยองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นการของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้"  (1โกรินโธ 15.58)
    ท่านเป็นคริสเตียนแล้วหรือ?  ถ้าท่านยังไม่เป็นคริสเตียนท่านก็ยังอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า  เรามีความปรารถนาให้ท่านเป็นคริสเตียน  โปรดปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แนะนำในบทเรียนหลักสูตรนี้  หวังใจว่าบทเรียนหลักสูตรนี้จะช่วยให้นักศึกษาพบกับความจริง  เรายินดีช่วยท่านทุกวิถีทางเพื่อจะให้ท่านกลับมาหาพระเจ้า
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 6  คลิกที่นี่

ลงชื่อใบรับประกาศนียบัตร

โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
1. ก่อนลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร ท่านต้องตอบคำถามหลักสูตรที่ 5 ให้ครบทั้ง 6 บทเสียก่อน
2. กรุณากรอกข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อจัดส่งใบประกาศนียบัตรให้ท่านทางไปรษณีย์
3. หลังจากลงชื่อรับใบประกาศนียบัตรแล้ว ท่านสามารถเลือกเรียนหลักสูตรอื่นได้ทันที
4. ลงชื่อขอรับใบประกาศนียบัตรหลักสูตรที่ 5 คลิกที่นี่