บทที่ 1

 

ยุคบรรพบุรุษ ภาคแรก

1. ยินดีต้อนรับและขอแสดงความยินดี หนังสือที่อยู่ในมือของท่านเป็นบทเรียนบทแรกในจำนวน 10 บทที่มีรูปภาพประกอบ ซึ่งจะช่วยให้ท่านศึกษาหนังสือที่มีความสำคัญที่สุดในโลก คือ “พระคัมภีร์” เราขอต้อนรับท่านในการแสวงหาที่จะเรียนรู้พระคำของพระเจ้า ขอแสดงความยินดีที่ท่านตัดสินใจที่จะศึกษาบทเรียนนี้ นี่จะเป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน


2. ประกาศนียบัตรที่สวยงามที่จะมอบให้ท่านเมื่อท่านได้ศึกษาจบ 10 บทแล้ว เราขอแนะนำให้ท่านศึกษาจนจบแต่ละบทภายในหนึ่งสัปดาห์ บทเรียนแต่ละบทจะมีความหมายมากสำหรับท่านถ้าท่านจะอ่านเที่ยวแรกให้จบเสียก่อนแล้วจึงกลับมาศึกษาให้ละเอียดมากขึ้น ข้อความแต่ละพารากร๊าฟจะมีใจความจากพระคัมภีร์ที่หยิบยกมาอ้างอิง ซึ่งนักศึกษาจะพบความจริงด้วยการอ่านจากพระคัมภีร์ด้วยตัวเอง บทเรียนแต่ละบทจะมีคำถาม 50 ข้อเพื่อทบทวนบทเรียนที่ศึกษาแล้ว

3. ตอนที่ 1 ของการศึกษาซีรี่ส์ของพระคัมภีร์มีภาพประกอบ “ยุคบรรพบุรุษ” ในยุคแรกประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ พระเจ้ามีกฎเกณฑ์ในการติดต่อกับมนุษย์โดยผ่านทางหัวหน้าครอบครัวเรียกว่า “บรรพบุรุษ” ยุคบรรพบุรุษเริ่มตั้งแต่การทรงสร้างจนถึงตอนที่โมเซนำชนชาติยิศราเอลออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์

4. ครอบครัวนี้ศึกษาพระคัมภีร์ร่วมกันเป็นประจำทุกวัน  เพราะมีสาระที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทุกยุค พระคำของพระเจ้าเป็นหนังสือที่มีความสำคัญที่สุดในโลกเพราะเป็นข้อเขียนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าเล่มเดียวเท่านั้นที่มาถึงเรา เราเป็นหนี้ตัวเองในการศึกษาพระคัมภีร์เป็นประจำทุกวัน เพราะว่าเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกเราทั้งหลายทุกคนจะถูกพิพากษาโดยพระคัมภีร์ (วิวรณ์ 20:12)
 
5. ท่านผู้นี้เป็นคริสเตียน เขารู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดรหลังจากตายแล้ว (โยฮัน 5:28-29) เขารู้ด้วยเหมือนกันว่าพระคัมภีร์ เป็นหนังสือเล่มเดียวเท่านั้นที่เปิดเผยให้ทราบว่ามนุษย์มาจากไหน มีจุดประสงค์อะไรในโลกนี้ และสอนว่าควรเชื่อและทำอย่างไรเพื่อจะใช้ชีวิตนิรันดรกับพระเจ้า (2ติโมเธียว 3:16-17) เขาสามารถเรียนรู้จากจากการอ่านเรื่องราวเหตุการณ์และบุคคลต่างๆที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ เหล่านี้ที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับประวัติศาสตร์โลก บอกรายละเอียดด้านภูมิศาสตร์เช่นแม่น้ำ ทะเลสาบ ตำแหน่งที่ตั้งทางกายภาพ ระยะทาง สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ทั้งหมดเหล่านี้เป็นความจริงที่ถูกต้อง โปรดให้โอกาสท่านเองในการศึกษาหนังสือแห่งชีวิต
 
6. ภาพเหล่านี้เป็นฝีมือจิตกรชั้นยอด ถูกนำมาใช้เป็นภาพประกอบบทเรียนในชีรี่ส์นี้เพื่อช่วยให้ท่านคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า หนังสือพระคัมภีร์มีผู้เขียนทั้งหมด 40 คนซึ่งมีพื้นเพต่างกัน คนละเผ่าพันธุ์ คนละวัฒนธรรมมีส่วนร่วมในการเขียนพระคัมภีร์ ใช้เวลาในการเขียน 1600 ปี หนังสือเหล่านี้มีความสัมพันธ์สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้านสาระและจุดประสงค์อันน่าอัศจรรย์ ความสอดคล้องกันนี้มิใช่เป็นโดยบังเอิญ ผู้เขียนทุกคนได้รับการทรงนำจากพระสติปัญญาของพระเจ้า (ฆะลาเตีย 1:11-12, 1โกรินโธ 2:12-13) เพราะฉะนั้นพระคัมภีร์เป็นพระสติปัญญาของพระเจ้าในภาษาของมนุษย์ อัครสาวกเปโตรกล่าวว่า “ด้วยว่าคำพยากรณ์นั้นเมื่อก่อนไม่ได้เป็นมาตามน้ำใจมนุษย์ แต่ว่ามนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้กล่าวนั้น” (2เปโตร 1:21) 
 
7. ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือหลายเล่ม เป็นห้องสมุดใหญ่ประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม บนชั้นประกอบด้วยหนังสือพระคัมภีร์เดิม 39 เล่ม ชั้นล่างประกอบด้วยพระคัมภีร์ใหม่ 27 เล่ม พระคัมภีร์ทั้งสองส่วนมีความสำคัญสำหรับคริสเตียน แต่พระคัมภีร์ใหม่เป็นบัญญัติที่ผูกมัดสำหรับคริสเตียนในยุคนี้ (เฮ็บราย 1:1-2) ตัวอย่างเช่นคนที่ต้องการเป็นคริสเตียนเขาจะต้องอ่านพระคัมภีร์ใหม่  ในหนังสือกิจการซึ่งมีตัวอย่างของการบังเกิดใหม่เป็นคริสเตียน (กิจการบทที่2, บทที่8, บทที่16)
 
8. พระคัมภีร์แบ่งออกเป็น 3 ยุค  คือ ยุคบรรพบุรุษ ยุคโมเซ และยุคคริสเตียน โปรดสังเกตดูด้านล่างของผัง พระเจ้าตรัสกับโมเซในยุคแรกแก่หัวหน้าครอบครัว เช่นอาดาม ในยุคที่สองพระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติของพระองค์โดยโมเซ ในยุคที่สามซึ่งเป็นยุคที่เราอยู่ภายใต้ในปัจจุบันนี้ เป็นยุคของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ (โยฮัน 1:1, โรม 5:12-15) ครั้นเมื่อคนได้เห็นภาพรวมทั้งหมดของพระคัมภีร์ เขาสามารถเข้าใจและชื่นชมในการศึกษาโดยสติปัญญามากขึ้น
 
9. ยุคบรรพบุรุษ : ยุคแรกประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์เริ่มต้นที่การทรงสร้างของพระเจ้า ยุคนี้ประกอบด้วยเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตามลำดับ สวนเอเดน, การถวายเครื่องบูชาเพื่อความบาป, โลกกลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยคนชั่วมากมาย, น้ำท่วมโลก, อับราฮามกับยิศฮาค, ยาโคบกับโยเซฟ, โยเซฟในประเทศอียิปต์ ,กำเนิดของโมเซและโมเซนำชนชาติยิศราเอลออกจากการเป็นทาส ขณะนี้เราจะเริ่มต้นบันทึกการทรงสร้างของพระเจ้า
 
10. “เมื่อเดิมพระเจ้าได้นฤมิตสร้างฟ้าและดิน” (เยเนซิศ 1:1) พระคัมภีร์ข้อแรกบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้ทรงสร้าง (โยฮัน 1:1-3, 1โกรินโธ 8:6) เวลาแห่งการทรงสร้างคือ “เมื่อเดิม” นักวิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้ตระหนักดีว่ามีองค์ประกอบ 5 ประการที่ทำให้เกิดโลกนี้ : เวลา ,พลัง ,พลังงาน, ห้วงอวกาศ และสสาร องค์ประกอบทั้ง 5 ประการนี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ข้อแรก “เมื่อเดิม” (เวลา) พระเจ้า (พลัง) นฤมิตสร้าง (พลังงาน) ฟ้า (อวกาศ) และดิน (สสาร)

11.ตั้งแต่แรกโลกของเราไม่มีรูปร่างเหมือนสภาพสมมุติขึ้นนี้ พระคัมภีร์กล่าวว่า “ดินนั้นก็ว่างเปล่าอยู่ มีความมืดอยู่เหนือน้ำและพระวิญญาณของพระเจ้าได้ปกคลุมอยู่เหนือน้ำนั้น” (เยเนซิศ 1:2) แล้วพระเจ้าทรงตรัสว่า “ให้เกิดมีความสว่าง” (เยเนซิศ 1:3) นี่เป็นครั้งแรกที่บันทึกว่า “พระเจ้าตรัส”
 
12. ทันทีที่พระเจ้าตรัสความสว่างก็ได้เกิดขึ้นเป็นการทรงสร้างวันที่หนึ่ง ปัจจุบันนี้เรารู้ว่าความสว่างเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ การที่พระเจ้าทรงสร้างความสว่างขึ้นก่อนสร้างชีวิตแสดงให้เห็นความจริงว่าพระเจ้าทรงสร้างสารพัดให้เป็นไปตามระบบระเบียบที่มีเหตุผลดีที่สุด
 
13. พระเจ้าทรงตรัสว่า “พระเจ้าได้ตรัสให้น้ำที่อยู่ใต้ฟ้านั้นรวบรวมเข้าแห่งเดียวกัน ให้ที่แห้งปรากฏขึ้นก็เป็นดังนั้น” (เยเนซิศ 1:9) พระเจ้าทรงเรียกที่แห่งนั้น “แผ่นดิน” และที่รวบรวมน้ำนั้นว่า “ทะเล” อันเป็นการทรงสร้างวันที่สอง อันดับต่อไปโลกก็พร้อมที่จะมีชีวิตจำพวกพืช (เยเนซิศ 1:10)
 
14. การทรงสร้างวันที่สาม พระเจ้าสร้างจำพวกพืชต่างๆ พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าตรัสให้ต้นหญ้าต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่มีผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันงอกขึ้นในแผ่นดิน ก็เป็นดังนั้น” (เยเนซิศ 1:11) สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ถูกสร้างโดยการอัศจรรย์ทั้งสิ้น และสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นให้โตเต็มที่สามารถที่จะขยายพันธุ์ไปตามชนิดของมันได้ หลังจากการสร้างของพระเจ้าด้วยการอัศจรรย์แล้วการขยายพันธุ์ก็ดำเนินไปตามกฎธรรมชาติ แม้ว่าเริ่มต้นโดยการอัศจรรย์ สิ่งทรงสร้างของพระเจ้าสามารถดำรงอยู่ได้โดยกฎธรรมชาติ (เยเนซิศ 8:22)
 
15. การทรงสร้างวันที่สี่ พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงใหญ่นั้นครองรักษาวัน ดวงเล็กนั้นครองรักษาคืน  และดวงดาวต่างๆ ด้วย พระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้ในพื้นฟ้าอากาศให้ส่องสว่างบนแผ่นดิน” (เยเนซิศ 1:16-17) ดวงดาวต่างๆรวมทั้งกาแลกซี่อีกมากมายนอกจากกาแลกซี่ของเราเอง พระคัมภีร์ได้กล่าวชื่อของดวงดาวต่างๆ เช่นกลุ่มดาวลูกไก่, ดาวรากโษส, ดาวนักษัตร, ดาวไถ ฯลฯ (โยบ 38:31-32)
 
16. การทรงสร้างวันที่ห้า พระเจ้าสร้างสัตว์จำพวกปลาและสัตว์ปีกทุกชนิด พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างปลาใหญ่และสารพัดสัตว์ที่มีชีวิตไหวกายได้ให้บังเกิดขึ้นในน้ำเป็นอันมากตามชนิดของมันทุกอย่าง และบรรดาสัตว์ที่มีปีกบินได้ตามชนิดของมันทุกอย่างแล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี” (เยเนซิศ 1:21)
 
17. การทรงสร้างวันที่หก : พระเจ้าทรงสร้างสัตว์บกทุกชนิด พระเจ้าทรงตรัสสั่งว่า “พระเจ้าตรัสให้ฝูงสัตว์มีชีวิตบังเกิดขึ้นที่แผ่นดินตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้ สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าทั้งปวงตามชนิดของมัน ก็เป็นดังนั้น” (เยเนซิศ 1:24)
 
18. การทรงสร้างมนุษย์ในวันที่หก หลังจากที่พระเจ้าได้สร้างโลกให้เตรียมพร้อมที่จะให้เป็นที่อาศัยของมนุษย์แวดล้อมไปด้วยพืช สัตว์เพื่อดำรงชีวิตของมนุษย์ พระเจ้าทรงตรัสว่า “จงให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเรา” (เยเนซิศ 1:26) เพราะพระเจ้าเป็นพระวิญญาณมนุษย์จึงประกอบด้วยวิญญาณ (เฮ็บราย 12:9) เนื้อหนังของมนุษย์อยู่ชั่วคราวเป็นที่อาศัยของวิญญาณ วิญญาณของมนุษย์จะอยู่ชั่วนิรันดร (2โกรินโธ 5:6) เพราะฉะนั้นมนุษย์ถูกสร้างให้เป็นตามแบบพระฉายาของพระเจ้า มนุษย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างที่สูงสุดในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย เมื่อพระเจ้า พระบิดาได้ตรัสว่า “จงให้เราสร้าง ...” คำว่า “เรา” เป็นพหูพจน์ แสดงว่าพระองค์ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกสามองค์คือพระเยซูพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงพระชนม์อยู่ตลอดชั่วนิรันดร พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งหมดที่พระเจ้าได้สร้าง พระเจ้าตรัสว่า “ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ใช้ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินทั้งสิ้น” (เยเนซิศ 1:26)
 
19. อาดามเป็นมนุษย์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระเจ้าทรงสรัสว่า “พระยะโฮวาเจ้าทรงดำริว่า "ซึ่งมนุษย์ผู้นั้นจะอยู่คนเดียวก็ไม่เหมาะ เราจะสร้างขึ้นอีกคนหนึ่งให้เป็นคู่เคียงเหมาะกับเขา” (เยเนซิศ 2:18) เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงได้สร้างฮาวาให้เป็นภรรยาและเป็นคู่ชีวิตของอาดาม อาดามได้กล่าวว่า “ชายนั้นจึงว่า "นี่เป็นกระดูกแท้และเนื้อแท้ของเราจะต้องเรียกว่าหญิงเพราะหญิงนี้ออกมาจากชาย"  เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยาและเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อหนังอันเดียวกัน” (เยเนซิศ 2:23-24) ภายหลังพระเยซูได้สอนว่าการสมรสและครอบครัวครั้งแรกเป็นบัญญัติการสมรสที่พระเจ้าตั้งไว้เป็นมาตรฐานตลอดกาล (มัดธาย 19:3-6)
 
20. กลับมาที่ผังของเรา ลูกศรสีแดงได้ชี้ให้เห็น “สวนเอเดน” พระเจ้าได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์ที่มีต่ออาดามกับฮาวาได้จัดสรรบ้านพิเศษให้เป็นที่พักอาศัยของอาดามกับฮาวา เป็นอุทยานที่สวยงามที่สุดในโลกซึ่งอาดามกับฮาวาสามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการเลือก พระเจ้าอนุญาตให้อาดามกับฮาวารับประทานผลไม้ทุกต้นในสวนได้ยกเว้นผลไม้จากต้นเดียวห้ามรับประทานเด็ดขาด พระเจ้าตรัสว่า “เว้นแต่ต้นไม้ที่ให้รู้ความดีและชั่ว ผลของต้นนั้นเจ้าอย่ากินเป็นอันขาด ถ้าเจ้าขืนกินในวันใดเจ้าจะตายในวันนั้นเป็นแน่” (เยเนซิศ 2:17) คำว่า “ตาย” ในที่นี้หมายถึง “การแยกจากกัน”

21. ขณะที่อยู่ในสวนเอเดนอันสวยงาม บุตรของพระเจ้าชื่นชมยินดีกับบ้านที่สมบูรณ์ยิ่งกว่านั้น เขาสามารถรับประทานผลไม้จาก “ต้นไม้แห่งชีวิต” และผลไม้จาก “ต้นไม้แห่งชีวิต” และผลไม้ทุกต้นในสวนยกเว้นต้นไม้ “ที่ให้รู้ดีและชั่ว” ห้ามรับประทานเด็ดขาด (เยเนซิศ 2:17) แต่ซาตานได้มาทดลองฮาวา และล่อลวงฮาวาและอาดามว่าจะไม่ตายตามที่พระเจ้าได้ตรัส ซาตานบอกว่าเธอจะเป็นเหมือนพระเจ้า ดังนั้นฮาวาได้ยอมต่อการทดลองของซาตานและได้รับประทานผลไม้ที่พระเจ้าห้าม จากนั้นเธอได้ชัดชวนให้สามีรับประทานผลไม้ด้วย แทนที่เขาทั้งสองจะกลายเป็นคนฉลาด เขาทั้งสองกลายเป็นคนที่มีความรู้สึกละอายตัวเอง และพยายามจะซ่อนตัวจากพระเจ้า เพราะเขาทั้งสองรู้ว่าได้ทำบาป (เยเนซิศ 2:16-17) ในพระคัมภีร์คำว่า “บาป” หมายถึงการไม่เชื่อฟังพระเจ้า (1โยฮัน 3:4)
 
22. เพราะทั้งสองคนได้ทำบาป อาดามกับฮาวาได้สูญเสียบ้านในสวนเอเดน สูญเสียความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า และสูญเสียสิทธิ “ต้นไม้แห่งชีวิต” (เยเนซิศ 3:24) เราจำได้ว่าพระเจ้าเตือนเขาจะ “ตาย” คำนี้มีความหมายว่า “แยก” เป็นการแยกออกจากพระเจ้าเป็นความตายฝ่ายวิญญาณจิตและความพินาศของจิตวิญญาณของเขาทั้งสอง การแตกแยกจาก “ต้นไม้แห่งชีวิต” หมายถึงการเริ่มต้นตายทางฝ่ายเนื้อหนัง (โรม 5:12) แต่พระเจ้าทรงเต็มไปด้วยความรัก พระองค์ไม่ปล่อยให้บุตรของพระองค์เคว้งคว้างปราศจากความหวัง
 
23. ประกาศคำแช่งสาปต่อซาตาน พระเจ้าทรงตรัสว่า “เราจะบันดาลให้เจ้ากับหญิงนี้ทั้งเผ่าพันธุ์ของเจ้ากับเผ่าพันธุ์ของเราเป็นศัตรูกัน เผ่าพันธุ์ของหญิงจะทำหัวของเจ้าให้ฟกช้ำ และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” (เยเนซิศ 3:15) หลายศตวรรษต่อมาพระเยซูตรัสว่า “เผ่าพันธุ์” (Seed) เล็งถึง “เผ่าพันธุ์ของหญิง” (ฆะลาเตีย 4:4) ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อลบล้างความผิดบาปของเรา โดยวิธีนี้ซาตานได้ทำให้ส้นเท้าของหญิงพระเยซูฟกช้ำ นั่นเป็นความเจ็บปวดที่พระเยซูได้รับ แต่ในการที่พระเยซูได้ฟื้นคืนพระชนม์พระองค์ได้ทำให้หัวงูฟกช้ำ นั่นหมายความว่าพระเยซูได้ปราบมารจนทำให้มารทำอะไรไม่ได้ (โกโลซาย 2:15) พระเยซูพิสูจน์ให้เห็นว่าเราสามารถเอาชนะความตายได้โดยฤทธานุภาพของพระองค์ (เฮ็บราย 2:14-15)
 
24. การถวายเครื่องบูชาเพื่อความบาปเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งจำเป็น อาดามกับฮาวาได้หันหลังให้พระบิดา เขาทั้งสองไม่สามารถชำระความบาปของตนได้ มนุษย์จะพินาศตลอดกาล (โรม 3:23) อีกครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ทรงสำแดงความเมตตาด้วยการยอมอนุญาตให้มนุษย์นำสัตว์มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่โทษบาป  พระเจ้ากำลังเตรียม และทราบล่วงหน้าว่า พระเยซูจะเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปมนุษย์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด (เฮ็บราย 9:13-14)
 
25. เพื่อสอดคล้องกับคำตรัสสั่งของพระเจ้าในตอนต้น “จงบังเกิดทวีขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน” (เยเนซิศ 1:28) อาดามกับฮาวาเริ่มต้นครอบครัวของตนทั้งสองมีบุตรหลายคน ในจำนวนบุตรทั้งหลาย สองคนคือคายินกับเฮเบล คายินเติบโตขึ้นเป็นชาวไร่ เฮเบลเป็นคนเลี้ยงแกะ (เยเนซิศ 4:1-8)
 
26. อยู่มาวันหนึ่งคายินกับเฮเบลได้นำเครื่องบูชามาถวายพระเจ้า โดยความเชื่อเฮเบลได้นำแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชาพระเจ้าทรงรับเครื่องบูชาของเฮเบล (เฮ็บราย 11:4) แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมรับเครื่องบูชาที่นำมาจากผลผลิตจากไร่นาของคายิน แทนที่คายินจะรู้สึกเสียใจ คายินโกรธและในที่สุดได้ฆ่าน้องชายของตัวเอง (เยเนซิศ 4:1-8) คายินกับเฮเบลจึงเป็นแบบอย่างของผู้นมัสการสองแบบ (1)ผู้ที่นมัสการโดยความเชื่อ ตามคำตรัสสั่งของพระเจ้า และ (2) ผู้นมัสการที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้ายอมรับการนมัสการต่อเมื่อมนุษย์นมัสการตามที่พระองค์ตรัสสั่งไว้เท่านั้น พระเจ้าจะไม่ยอมรับสิ่งทดแทนนอกเหนือที่พระเจ้าสั่ง
 
27. ความชั่วเริ่มครอบคลุมทั่วทั้งโลก ยิ่งจำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นความชั่วก็ยิ่งทวีเพิ่มขึ้น และกระจายไปทั่วมากขึ้น พงพันธุ์ของผู้ชอบธรรมและพงศ์พันธุ์ของพวกอธรรมได้ทำการสมรสกัน ความคิดนึกในใจของมนุษย์จึงชั่วไปทั้งหมด (เยเนซิศ 6:1-6)
 
28. ความยุติธรรม ความรัก และความเมตตา หายสาบสูญไปจากสังคม ตั้งแต่ผู้มีอำนาจในระดับสูงจนถึงชาวบ้านธรรมดากลายเป็นคนที่มีศีลธรรมเสื่อมโทรมทุกวันทุกตัวคน แม้กระทั่งความคิดนึกและจินตนาการของพวกเขาล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความชั่วเสมอไป เมื่อพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นมนุษย์ที่เป็นพระฉายาของพระองค์อยู่ภายใต้อิทธิพลของมาร พระองค์ทรงโทมนัสเสียพระทัย (เยเนซิศ 6:5-6)
 
29. น้ำท่วมโลก เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าใช้ในการชำระความบาปและความชั่วของมนุษย์ แต่พระเจ้าให้โอกาสมนุษย์ในการปรนนิบัติพระองค์ในทางความชอบธรรม (เยเนซิศ 6:7-8)
 
30. โนฮาและครอบครัวของเขา เป็นแต่เพียงครอบครัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าสั่งให้โนฮาต่อนาวาใหญ่มหึมาด้วยไม้โกเฟอร์ (เยเนซิศ 6:9-18) ขณะเดียวกันได้ตักเตือนให้ประชาชนทั้งหลายทราบถึงความพินาศที่จะเกิดขึ้น เพราะเนื่องจากคนสมัยนั้นมีอายุยืนนาน ดังนั้นโนฮาจึงได้ใช้เวลาเทศนาให้คนกลับใจเสียใหม่  ในช่วงเวลาที่ท่านได้ใช้เวลาต่อนาวาใหญ่ (2เปโตร 2:5) พระเจ้าได้ทรงสำแดงความรักและความเมตตาแก่คนเหล่านั้นที่ประพฤติชั่ว เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขากลับใจเสียใหม่ก่อนที่น้ำจะท่วมโลก

31. อัครสาวกเปโตร ภายหลังได้กล่าวถึงความเมตตาและความอดกลั้นพระทัยใว้นานใน 1เปโตร 3:20-21 “คราวเมื่อพระเจ้าทรงโปรดงดโทษไว้นาน คือครั้งโนฮาเมื่อท่านกำลังจัดแจงต่อนาวา ในนาวานั้นได้รอดจากน้ำน้อยคน คือแปดคน  เช่นนั้นแหละบัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉันผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้าโดยซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย” 
 
32. เมื่อถึงเวลาที่เข้าในนาวา โนฮาปฏิบัติตามคำตรัสสั่งของพระเจ้าโดยการนำครอบครัวของเขา และบรรดาสัตว์ทั้งหลายอย่างละคู่เข้ามาในนาวา ก่อนหน้านี้พระเจ้าได้สั่งให้ตระเตรียมสิ่งที่จำเป็นขณะที่พวกสัตว์ทั้งหลายขณะที่อยู่ในนาวา (เยเนซิศ 6:19-22)
 
33. มนุษย์ทุกคนได้ปฏิเสธคำตักเตือนของโนฮา การที่พวกเขาปฏิเสธโนฮาก็เท่ากับว่าพวกเขาปฏิเสธความรักของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าปิดประตูนาวาใหญ่มหึมาไม่มีมนุษย์คนใดเข้าไปในนาวาได้อีกแล้ว (เยเซิศ 7:16) น้ำได้ท่วมเลยภูเขาสูงขึ้นไปอีก (เยเนซิศ 7:18-20) วันที่พระเจ้าสำแดงความเมตตาได้สิ้นสุดลง ความชั่วช้าเลวทรามของคนทั้งหลายได้นำจุดจบมาสู่ตนเอง คนที่ไม่สามารถรอดพ้นจากน้ำท่วมโลกจะตำหนิใครไม่ได้นอกจากตำหนิตัวเอง ปัจจุบันนี้ในทำนองเดียวกันที่มนุษย์จะปฏิเสธไม่ยอมเชื่อฟังคำตักเตือนคำวิงวอนจากพระองค์ พระองค์จะทรงทำลายล้างโลกด้วยไฟ

34. “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในคำสัญญาของพระองค์เหมือนบางคนคิดว่าช้านั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายเป็นช้านาน ไม่ทรงประสงค์จะให้คนหนึ่งคนใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาจะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่ แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าคงจะมาเหมือนอย่างขโมยดอดมา และในวันนั้นท้องฟ้าอากาศจะล่วงเสียไปด้วยเสียงอันดังสนั่น และโลกธาตุจะละลายไปด้วยไฟอันร้อนยิ่ง และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้น” (2เปโตร 3:9-10) จากการที่โนฮาได้เตือนคนในสมัยของท่านว่าโลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ ในทำนองเดียวกันพระคัมภีร์เตือนเราทั้งหลายเช่นเดียวกันว่าโลกนี้จะถูกทำลายด้วยไฟ
 
35. นาวาของโนฮาได้ลอยขึ้นสูงเหนือภูเขาทั้งหลาย (เยเนซิศ 7:17) น้ำท่วมโลกได้ทำลายคนชั่วและได้ทรงชำระโลกนี้และช่วยทั้งแปดคนที่เข้าไปในนาวา (1เปโตร 3:20) เหมือนกับคนที่รอดจากน้ำเข้าไปอยู่ในนาวาฉันใด ปัจจุบันนี้เช่นเดียวกันพระเจ้าจะทรงช่วยครอบครัวฝ่ายวิญญาณจิต, คริสตจักร (กิจการ 2:47) หลังจากเป็นเวลา 150 วัน  น้ำก็ค่อยๆลดลงตามลำดับ ในที่สุดก็แห้งและนาวาได้มาเกยอยู่บนภูเขาอะราราด
 
36. หลังจากใช้เวลาอยู่ในนาวามากกว่าหนึ่งปี โนฮากับครอบครัวและสัตว์ทั้งหลายได้ออกไปจากนาวาและได้สัมผัสกับพื้นดินแห้ง โนฮาได้ถวายสัตว์ทุกชนิดเป็นเครื่องบูชาเป็นการนมัสการพระเจ้า พระเจ้าได้ให้มีรุ้งบนท้องฟ้าเพื่อเป็นคำสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทำลายล้างโลกด้วยน้ำอีกต่อไป (เยเนซิศ 8:13-9:17) แต่เปโตรได้บอกไว้ว่าโลกของเราจะถูกทำลายด้วยไฟ นั่นเป็นการสิ้นสุดของโลกนี้ (2เปโตร 3:9-10)
 
37. เมื่อไม่นานมานี้นักโบราณคดีได้มีการขุดค้นพบตามบริเวณส่วนต่างๆ ทั่วโลก พบหลักฐานฟอสซิลมากมายที่สนับสนุนน้ำท่วมโลก จากการขุดพบสองแห่งได้พบชั้นน้ำจืดใต้บาดาลกว้าง 8 ฟุต ตามลูกศรในภาพแสดงให้เห็นในชั้นของหินโคลนได้พบชิ้นวัตถุที่มนุษย์ประดิษฐ์มากมายของอารยะธรรมโบราณถูกฝังไว้ในชั้นดินโคลนนี้ และบนยอดภูเขาสูงตามสถานที่ต่างๆทั่วโลกได้พบฟอสซิลที่เป็นสัตว์ทะเลมากมาย นอกจากนั้นแล้วยังมีตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกในประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆ เช่น ประเทศอียิปต์, คาลเดีย, กรีก, จีน, อินเดีย, ประเทศไทย และประเทศต่างๆ ตอนใต้ของประเทศเม็กชิโก หลักฐานต่างๆเหล่านี้ชี้ให้เห็นความจริงเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกที่บันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์

 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 1  คลิกที่นี่

บทที่2