บทที่ 9
บทที่9
พระเจ้าคาดหวังอะไรจากข้าพเจ้า?
WHAT DOES GOD EXPECT OF ME?
"พระยะโฮวาเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมแห่งชีวิตเข้าทางจมูกให้มีชีวิตหายใจเข้าออก มนุษย์จึงเกิดเป็นจิตต์วิญญาณมีชีวิตอยู่" (เยเนซิศ 2:7) ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นพิภพโลก มนุษย์เท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นตาม "แบบพระฉายาของพระเจ้า" ในวันที่หกแห่งการทรงสร้างพระเจ้าตรัสว่า "พระเจ้าทรงดำริว่าจงให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเราให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ใช้ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินทั้งสิ้น พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์ และตามแบบฉายาของพระองค์นั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง" (เยเนซิศ 1:26-27)
การหลงกระทำผิด : การไม่เชื่อฟังและความตาย
MAN'S PREDICAMENT : DISOBEDIENCE AND DEATH
เป็นที่น่าเสียใจที่มนุษย์ชายหญิงคู่แรกได้ใช้เสรีภาพในการเลือกไปในทางกบฏไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าผู้ทรงสร้าง มนุษย์ได้เลือกทำสิ่งที่ผิดพลาดร้ายแรง ดังนั้นมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาวะที่พระคัมภีร์เรียกว่า "ความบาป" พระคัมภีร์ได้บอกเรื่องราวของการที่มนุษย์ได้ก้าวเข้าไปสู่การล่วงละเมิดและได้นำความบาปเข้ามาในโลกครั้งแรกโดยอาดามกับฮาวา (เยเนซิศ 3) หลังจากอาดามกับฮาวา มนุษย์ที่เกิดมาก็ได้ทำความผิดบาป "ไม่มีผู้ใดซึ่งไม่มีผิดเลย" (1กษัตริย์ 8:46) ผู้พยากรณ์ยะซายาได้กล่าวแก่พลไพร่ของพระเจ้าว่า "แต่ความอสัตย์อธรรมของเจ้าต่างหากที่เป็นเครื่องมือกีดกั้นระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้าและความผิดทั้งหลายของเจ้าได้บังพระพักตร์ของพระองค์ไว้จากเจ้า เราจึงยินเจ้าไม่ได้" (ยะซายา 59:2) ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นเดียวกันสอนไว้อย่างชัดเจนเรื่องการพิพากษาโทษของความบาปเหมือนกับพระคัมภีร์เดิม อัครสาวกโยฮันได้เขียนว่า คนใดที่กระทำบาปก็ผิดพระบัญญัติด้วยและการบาปเป็นที่ผิดพระบัญญัติ" (1โยฮัน 3:4) ดังนั้นคำจำกัดความของความบาปก็คือการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า อันที่จริงเปาโลกล่าวว่า "เหตุว่าพระบัญญัตินั้นกระทำให้ทรงพระพิโรธแต่ว่าถ้าไม่มีพระบัญญัติความผิดพระบัญญัติก็จะไม่มี" (โรม 4:15) ถ้าพระเจ้าไม่ได้ตั้งพระบัญญัติไว้ก็จะไม่มีการละเมิดพระบัญญัติ แต่พระเจ้าได้ทรงตั้ง พระบัญญัติของพระองค์ขึ้นมนุษย์ได้ฝ่าฝืนเลือกที่จะ ละเมิด พระบัญญัติของพระเจ้า เปาโลได้หยิบยกพระคัมภีร์เดิมมากล่าวเสียใหม่มีใจความว่าดังนี้ "เหตุว่าคนทั้งปวงได้ทำผิดทุกคน และขาดการถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า" (โรม 3:23) เนื่องจากผลของความบาป สถานะภาพของมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างสาหัส ยะเอศเคลผู้พยากรณ์ได้วิงวอนว่า "จิตวิญญาณที่ทำบาปจิตวิญญาณนั้นจะตาย" (ยะเอศเคล 18:20) พระคัมภีร์ใหม่ได้เขียนสอดคล้องกับพระคัมภีร์เดิม เปาโลได้เขียนว่า "เหตุฉะนั้นก็เช่นเดียวกับที่ความผิดได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น อย่างนั้นแหละความตายจึงได้ลามไปถึงคนทั้งปวงเพราะคนทั้งปวงเป็นคนผิดอยู่แล้ว" (โรม 5:12) และเปาโลได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ค่าจ้างของความบาปคือ ความตาย" (โรม 6:23) ยาโกโบอีกท่านได้เขียนว่า "แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวงเมื่อตัณหาของตัวชักนำตนให้กระทำผิด แล้วตัวก็กระทำตาม ครั้นตัณหาได้ปฏิสนธิแล้วจึงบังเกิดความผิด และความผิดนั้นเมื่อโตเต็มขนาดแล้วจึงเกิดความตาย" (ยาโกโบ 1:14-15)
ผลจากการที่มนุษย์ได้ทำบาป พระเจ้าได้สาปแช่งให้มนุษย์ทั้งหลายตกอยู่ในความตาย มนุษย์ทั้งชายและหญิงจะต้องตาย ฝ่ายร่างกาย อันเป็นผลสืบเนื่องจากความบาปของอาดามกับฮาวา พร้อมกันนี้ทุกคนจะต้องตาย ฝ่ายวิญญาณจิตต์ เนื่องจากความบาปที่เขาหรือเธอได้ทำไว้ตามความหมายทางฝ่ายวิญญาณจิตต์ แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบความบาปของตนเอง มีคำสอนของคนบางกลุ่มที่สอนว่าความบาปเป็นมรดกตกทอดมาจากความบาปของอาดาม คำสอนนี้ผิด เราไม่ได้รับมรดก ความบาป ที่ตกทอดมายังเรา แต่ ผลของความบาป ตกทอดมาถึงเรา ทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกันมาก
พิจารณาอุทาหรณ์หนึ่งอย่าง เพื่อชี้ให้เห็นประเด็นนี้ผู้เป็นพ่อของครอบครัวหนึ่งดื่มเหล้าเมากลับมาบ้านได้ตีลูกเมียของตัวเองทำให้ลูกเมียต้องเจ็บปวดเพราะผลของความบาปจากการเมาเหล้าของผู้เป็นสามี แต่ที่จะตอบว่าเมียกับลูกเจ็บปวดเพราะความบาปของตนเป็นเรื่องไร้สาระ หลักการเดียวกันนี้สามารถอธิบายในด้านฝ่ายวิญญาณจิตต์คนส่วนมากตายฝ่ายร่างกายเพราะความบาปของอาดาม แต่เขาตายฝ่ายวิญญาณจิตต์ที่เขาได้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าต่างหาก ในหนังสือยะเอศเคล 18:20 ซึ่งได้หยิบยกมากล่าวไว้ตอนต้นครั้งหนึ่งแล้ว ยะเอศเคลได้กล่าวต่อไปอีกว่า "จิตต์วิญญาณที่กระทำบาป จิตต์วิญญาณนั้นจะตาย แลบุตรจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบิดานั้น บิดาจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบุตรนั้น ความชอบธรรมแห่งผู้ชอบธรรมจะอยู่ในตัวเอง ความชั่วแห่งคนชั่วจะอยู่ในตัวเอง"
โครงการของพระเจ้าในการขจัดความบาป GOD'S REMEDY FOR SIN
เมื่อมนุษย์ได้รับผลกระทำจากความบาป แม้ว่ามนุษย์จะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย หรือน่าเวทนาสักปานใดอันที่จริงพระจ้า ไม่จำเป็นต้องเตรียมหนทางแก้ไขเพื่อให้มนุษย์ได้รับความรอดพ้นจากบาป เพราะการกระทำของมนุษย์ที่ไม่รู้จักขอบพระคุณพระเจ้า ที่หันหลังให้พระเจ้า หันหลังให้พระบัญญัติของพระองค์ หันหลังให้ความรักของพระองค์ และหันหลังให้ไม่แยแสต่อพระเมตตาของพระองค์
ทำไมพระเจ้าจะต้องใช้เวลาอันยาวนาน เพื่อจะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาป? ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรก็ตามไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างได้ทรงทุ่มเทเพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป พระองค์ได้ทำอย่างนี้ก็เพราะด้วยเหตุผลอันเดียวคือ โดยความรักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก (1โยฮัน 4:8) พระองค์ได้เตรียมโครงการไถ่โทษเพราะพระองค์มีความรักและความห่วงใยในสถานะภาพของมนุษย์ ไม่ใช่เป็นเพื่อความปรารถนาของพระองค์เอง แต่เพื่อมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ขอให้เรายอมรับความรักด้วยความจริงใจ ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์นั้นเรา ไม่สมควรจะได้รับเลย พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้า ตัดสินใจที่จะประทานความรอด "หนทางที่จะกลับบ้าน" ให้เรา แม้ว่าเราเป็นคนอสัตย์อธรรม เป็นคนบาปและเป็นศัตรูกับพระเจ้า (โปรดสังเกตคำต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือโรม 5:6-10) อัครสาวกโยฮันมีความยินดีเพราะว่า "ในข้อนี้แหละเป็นความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ได้ทรงรักเรา" (1โยฮัน 4:10)
ความรักของพระเจ้าสากล พระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด (โยฮัน 3:16) พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนรอดพ้นจากบาป (1ติโมเธียว 2:4) หมายความว่าถ้าเขาเลือกอย่างนั้น (โยฮัน 5:40) เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้คนหนึ่งคนใดพินาศ (2เปโตร 3:9) ความรักของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด (อ่าน โรม 8:35-39) และจงชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าทรงสำแดงความรักแก่มนุษย์ทุกคน แต่มีบางคนดื้อด้านเลือกที่จะต่อต้านพระเจ้าและไม่ยอมสนองต่อความรักอันมหัศจรรย์ของพระองค์
โครงการแห่งความรอดของพระเจ้า-ในการปฏิบัติ
GOD'S PLAN OF SALVATION - IN ACTION
คุณสมบัติของพระเจ้าประการหนึ่งคือพระองค์ทรง เป็นผู้บริสุทธิ์ (ดูหนังสือ วิวรณ์ 4:8, ยะซายา 6:3) เพราะพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นพระองค์ไม่สามารถและไม่อาจมองข้ามความบาปของมนุษย์ได้ ผู้พยากรณ์ฮะบาฆูคกล่าวว่า "พระเนตรของพระองค์อันบริสุทธิ์จะแลดูการชั่ว แลจะพิจารณาความเบียดเบียนประทุษร้ายก็ไม่ได้ เหตุไฉนพระองค์จึงทรงทอดพระเนตรดูคนผู้กระทำคดโกง แลนิ่งเงียบเสียเมื่อคนบาปนั้นกัดกินคนดีผู้ชอบธรรมนั้นยิ่งกว่าตัว" (ฮะบาฆูค 1:13) คุณสมบัติของพระเจ้าอีกประการคือ พระองค์ ยุติธรรม ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานบัลลังก์ของพระเจ้า (บทเพลงสรรเสริญ 89:14) ความจริงที่เราต้องยอมรับอันเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์และทรงเป็นผู้ยุติธรรม ดังนั้น ความบาปจะต้องมีการลงโทษ ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ใจโหดและเคียดแค้น (เหมือนพวกป่าเถื่อนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าพูดผิดเกี่ยวกับพระเจ้า) ถ้าเช่นนั้นก็คงจะขจัดมนุษย์ให้พ้นไปจากพระองค์โดยสิ้นเชิงตลอดกาล นั้นก็หมายความว่าเป็นจุดจบของมนุษย์ชาติ แต่ความจริงก็คือว่าพระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าอย่างนั้น พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ทรงเต็มไปด้วยความรัก (1โยฮัน 4:8) และเต็มไปด้วยความเมตตา" (เอเฟโซ 2:4) เพราะฉะนั้นปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า พระเจ้าที่เต็มไปด้วยความรักและพระเจ้าแห่งความเมตตาจะสามารถยกโทษมนุษย์ที่กบฏพยศต่อพระเจ้าอย่างไร?
อัครสาวกเปาโลได้บรรยายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือโรมบทที่3 พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรมและจะยกความผิดบาปของมนุษย์ไปได้อย่างไร? คำตอบคือพระเจ้าหาผู้ที่จะมายอมรับโทษแทนเรา "ผู้นั้น" ก็คือพระเยซูคริสต์เจ้าพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ยอมสละพระชนม์ของพระองค์ ยอมเป็นเครื่องบูชาไถ่โทษแทนเรา พระองค์เป็นผู้ชำระค่าราคาเพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด ยะซายาได้บรรยายถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้าในการรับโทษแทนมนุษย์ไว้ดังนี้ "เขาผู้นั้นถูกเจ็บเป็นบาดแผลก็เพราะการล่วงละเมิดของพวกเรา และถูกฟกช้ำก็เพราะความอสัตย์อธรรมของพวกเรา การลงโทษเพื่อให้เกิดความสุขแก่พวกเราไปตกอยู่กับเขาผู้นั้น และที่พวกเราหายเป็นปกติได้ก็เพราะรอยแผลเฆี่ยนของเขาผู้นั้น เราทั้งหลายได้หลงทางไปเสียแล้วเช่นเดียวกับแกะ เราต่างคนก็หันไปตามทางของตนเอง และพระยะโฮวาทรงให้บาปผิดทั้งหมดของพวกเราตกอยู่กับเขาผู้นั้น" (ยะซายา 53:5-6) พระประสงค์ของพระเจ้าต้องการสำแดงพระกรุณาธิคุณและพระเมตตาเพื่อไถ่โทษบาปของมนุษย์โดยยอมให้พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (โรม 3:24-26) "พระเยซูพระองค์เองทรงมีสภาพเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ทรงสละพระองค์เอง ยอมบังเกิดเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรม และสัมผัสกับความเป็นมนุษย์เหมือนเราทุกรูปแบบ พระองค์ทรงถูกทดลองทุกรูปแบบเหมือนเราทั้งหลาย แต่พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปแต่ประการใด" (เฮ็บราย 4:15)
โครงการแห่งความรอดของพระเจ้า - มนุษย์จะต้องทำประการใด?
GOD'S PLAN OF SALVATION - WHAT MANKIND MUST DO?
แม้ว่าพระเจ้าจะประทานความรอดให้มนุษย์ แต่ความรอดไม่ใช่ ปราศจากเงื่อนไข มนุษย์มีบทบาทในการรับผิดชอบด้วยในโครงการนี้ ถึงแม้ว่าพระเจ้าประทานความรอดให้โดยไม่คิดค่าอะไรจากเขา (ตามความหมายที่ว่าค่าราคานั้นได้ชำระแล้วโดยพระเยซูคริสต์) พระเจ้าจะไม่บีบบังคับผู้ใดให้ยอมรับเงื่อนไขที่จะรับความรอดโดยเด็ดขาด แต่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงจะต้องตัดสินใจด้วยตัวของเขาเองว่าจะเต็มใจรับความรอดที่พระเจ้าเสนอให้หรือเปล่า? มีเงื่อนไข "บางสิ่งบางอย่าง" อะไรที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อจะได้รับการอภัยโทษบาปและรับความรอด?
ในการที่พระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ พระเจ้าได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ถ้ามนุษย์ต้องการเป็นผู้ชอบธรรม เขาจะต้องดำเนินชีวิต "โดยความเชื่อ"(ดูหนังสือ ฮะบาฆูค 2:4, เฮ็บราย 10:38 , 11:6) โอกาสที่มนุษย์จะได้รับความรอดมีอยู่เสมอทุกยุคทุกสมัย แม้กระนั้น "ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ" ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ "เชื่อ" ข้อเท็จจริงบางอย่างเท่านั้น "การดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ" หมายความว่าเป็น การเชื่อฟังที่ปฏิบัติตาม สิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำด้วย
องค์ประกอบของความเชื่อมีสามประการดังนี้
"พระยะโฮวาเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมแห่งชีวิตเข้าทางจมูกให้มีชีวิตหายใจเข้าออก มนุษย์จึงเกิดเป็นจิตต์วิญญาณมีชีวิตอยู่" (เยเนซิศ 2:7) ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นพิภพโลก มนุษย์เท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นตาม "แบบพระฉายาของพระเจ้า" ในวันที่หกแห่งการทรงสร้างพระเจ้าตรัสว่า "พระเจ้าทรงดำริว่าจงให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเราให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ใช้ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินทั้งสิ้น พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์ และตามแบบฉายาของพระองค์นั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง" (เยเนซิศ 1:26-27)
การหลงกระทำผิด : การไม่เชื่อฟังและความตาย
MAN'S PREDICAMENT : DISOBEDIENCE AND DEATH
เป็นที่น่าเสียใจที่มนุษย์ชายหญิงคู่แรกได้ใช้เสรีภาพในการเลือกไปในทางกบฏไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าผู้ทรงสร้าง มนุษย์ได้เลือกทำสิ่งที่ผิดพลาดร้ายแรง ดังนั้นมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาวะที่พระคัมภีร์เรียกว่า "ความบาป" พระคัมภีร์ได้บอกเรื่องราวของการที่มนุษย์ได้ก้าวเข้าไปสู่การล่วงละเมิดและได้นำความบาปเข้ามาในโลกครั้งแรกโดยอาดามกับฮาวา (เยเนซิศ 3) หลังจากอาดามกับฮาวา มนุษย์ที่เกิดมาก็ได้ทำความผิดบาป "ไม่มีผู้ใดซึ่งไม่มีผิดเลย" (1กษัตริย์ 8:46) ผู้พยากรณ์ยะซายาได้กล่าวแก่พลไพร่ของพระเจ้าว่า "แต่ความอสัตย์อธรรมของเจ้าต่างหากที่เป็นเครื่องมือกีดกั้นระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้าและความผิดทั้งหลายของเจ้าได้บังพระพักตร์ของพระองค์ไว้จากเจ้า เราจึงยินเจ้าไม่ได้" (ยะซายา 59:2) ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เช่นเดียวกันสอนไว้อย่างชัดเจนเรื่องการพิพากษาโทษของความบาปเหมือนกับพระคัมภีร์เดิม อัครสาวกโยฮันได้เขียนว่า คนใดที่กระทำบาปก็ผิดพระบัญญัติด้วยและการบาปเป็นที่ผิดพระบัญญัติ" (1โยฮัน 3:4) ดังนั้นคำจำกัดความของความบาปก็คือการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า อันที่จริงเปาโลกล่าวว่า "เหตุว่าพระบัญญัตินั้นกระทำให้ทรงพระพิโรธแต่ว่าถ้าไม่มีพระบัญญัติความผิดพระบัญญัติก็จะไม่มี" (โรม 4:15) ถ้าพระเจ้าไม่ได้ตั้งพระบัญญัติไว้ก็จะไม่มีการละเมิดพระบัญญัติ แต่พระเจ้าได้ทรงตั้ง พระบัญญัติของพระองค์ขึ้นมนุษย์ได้ฝ่าฝืนเลือกที่จะ ละเมิด พระบัญญัติของพระเจ้า เปาโลได้หยิบยกพระคัมภีร์เดิมมากล่าวเสียใหม่มีใจความว่าดังนี้ "เหตุว่าคนทั้งปวงได้ทำผิดทุกคน และขาดการถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า" (โรม 3:23) เนื่องจากผลของความบาป สถานะภาพของมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างสาหัส ยะเอศเคลผู้พยากรณ์ได้วิงวอนว่า "จิตวิญญาณที่ทำบาปจิตวิญญาณนั้นจะตาย" (ยะเอศเคล 18:20) พระคัมภีร์ใหม่ได้เขียนสอดคล้องกับพระคัมภีร์เดิม เปาโลได้เขียนว่า "เหตุฉะนั้นก็เช่นเดียวกับที่ความผิดได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะความผิดนั้น อย่างนั้นแหละความตายจึงได้ลามไปถึงคนทั้งปวงเพราะคนทั้งปวงเป็นคนผิดอยู่แล้ว" (โรม 5:12) และเปาโลได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ค่าจ้างของความบาปคือ ความตาย" (โรม 6:23) ยาโกโบอีกท่านได้เขียนว่า "แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวงเมื่อตัณหาของตัวชักนำตนให้กระทำผิด แล้วตัวก็กระทำตาม ครั้นตัณหาได้ปฏิสนธิแล้วจึงบังเกิดความผิด และความผิดนั้นเมื่อโตเต็มขนาดแล้วจึงเกิดความตาย" (ยาโกโบ 1:14-15)
ผลจากการที่มนุษย์ได้ทำบาป พระเจ้าได้สาปแช่งให้มนุษย์ทั้งหลายตกอยู่ในความตาย มนุษย์ทั้งชายและหญิงจะต้องตาย ฝ่ายร่างกาย อันเป็นผลสืบเนื่องจากความบาปของอาดามกับฮาวา พร้อมกันนี้ทุกคนจะต้องตาย ฝ่ายวิญญาณจิตต์ เนื่องจากความบาปที่เขาหรือเธอได้ทำไว้ตามความหมายทางฝ่ายวิญญาณจิตต์ แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบความบาปของตนเอง มีคำสอนของคนบางกลุ่มที่สอนว่าความบาปเป็นมรดกตกทอดมาจากความบาปของอาดาม คำสอนนี้ผิด เราไม่ได้รับมรดก ความบาป ที่ตกทอดมายังเรา แต่ ผลของความบาป ตกทอดมาถึงเรา ทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกันมาก
พิจารณาอุทาหรณ์หนึ่งอย่าง เพื่อชี้ให้เห็นประเด็นนี้ผู้เป็นพ่อของครอบครัวหนึ่งดื่มเหล้าเมากลับมาบ้านได้ตีลูกเมียของตัวเองทำให้ลูกเมียต้องเจ็บปวดเพราะผลของความบาปจากการเมาเหล้าของผู้เป็นสามี แต่ที่จะตอบว่าเมียกับลูกเจ็บปวดเพราะความบาปของตนเป็นเรื่องไร้สาระ หลักการเดียวกันนี้สามารถอธิบายในด้านฝ่ายวิญญาณจิตต์คนส่วนมากตายฝ่ายร่างกายเพราะความบาปของอาดาม แต่เขาตายฝ่ายวิญญาณจิตต์ที่เขาได้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าต่างหาก ในหนังสือยะเอศเคล 18:20 ซึ่งได้หยิบยกมากล่าวไว้ตอนต้นครั้งหนึ่งแล้ว ยะเอศเคลได้กล่าวต่อไปอีกว่า "จิตต์วิญญาณที่กระทำบาป จิตต์วิญญาณนั้นจะตาย แลบุตรจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบิดานั้น บิดาจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบุตรนั้น ความชอบธรรมแห่งผู้ชอบธรรมจะอยู่ในตัวเอง ความชั่วแห่งคนชั่วจะอยู่ในตัวเอง"
โครงการของพระเจ้าในการขจัดความบาป GOD'S REMEDY FOR SIN
เมื่อมนุษย์ได้รับผลกระทำจากความบาป แม้ว่ามนุษย์จะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย หรือน่าเวทนาสักปานใดอันที่จริงพระจ้า ไม่จำเป็นต้องเตรียมหนทางแก้ไขเพื่อให้มนุษย์ได้รับความรอดพ้นจากบาป เพราะการกระทำของมนุษย์ที่ไม่รู้จักขอบพระคุณพระเจ้า ที่หันหลังให้พระเจ้า หันหลังให้พระบัญญัติของพระองค์ หันหลังให้ความรักของพระองค์ และหันหลังให้ไม่แยแสต่อพระเมตตาของพระองค์
ทำไมพระเจ้าจะต้องใช้เวลาอันยาวนาน เพื่อจะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาป? ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรก็ตามไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างได้ทรงทุ่มเทเพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป พระองค์ได้ทำอย่างนี้ก็เพราะด้วยเหตุผลอันเดียวคือ โดยความรักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก (1โยฮัน 4:8) พระองค์ได้เตรียมโครงการไถ่โทษเพราะพระองค์มีความรักและความห่วงใยในสถานะภาพของมนุษย์ ไม่ใช่เป็นเพื่อความปรารถนาของพระองค์เอง แต่เพื่อมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ขอให้เรายอมรับความรักด้วยความจริงใจ ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์นั้นเรา ไม่สมควรจะได้รับเลย พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้า ตัดสินใจที่จะประทานความรอด "หนทางที่จะกลับบ้าน" ให้เรา แม้ว่าเราเป็นคนอสัตย์อธรรม เป็นคนบาปและเป็นศัตรูกับพระเจ้า (โปรดสังเกตคำต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือโรม 5:6-10) อัครสาวกโยฮันมีความยินดีเพราะว่า "ในข้อนี้แหละเป็นความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ได้ทรงรักเรา" (1โยฮัน 4:10)
ความรักของพระเจ้าสากล พระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด (โยฮัน 3:16) พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนรอดพ้นจากบาป (1ติโมเธียว 2:4) หมายความว่าถ้าเขาเลือกอย่างนั้น (โยฮัน 5:40) เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้คนหนึ่งคนใดพินาศ (2เปโตร 3:9) ความรักของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด (อ่าน โรม 8:35-39) และจงชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าทรงสำแดงความรักแก่มนุษย์ทุกคน แต่มีบางคนดื้อด้านเลือกที่จะต่อต้านพระเจ้าและไม่ยอมสนองต่อความรักอันมหัศจรรย์ของพระองค์
โครงการแห่งความรอดของพระเจ้า-ในการปฏิบัติ
GOD'S PLAN OF SALVATION - IN ACTION
คุณสมบัติของพระเจ้าประการหนึ่งคือพระองค์ทรง เป็นผู้บริสุทธิ์ (ดูหนังสือ วิวรณ์ 4:8, ยะซายา 6:3) เพราะพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นพระองค์ไม่สามารถและไม่อาจมองข้ามความบาปของมนุษย์ได้ ผู้พยากรณ์ฮะบาฆูคกล่าวว่า "พระเนตรของพระองค์อันบริสุทธิ์จะแลดูการชั่ว แลจะพิจารณาความเบียดเบียนประทุษร้ายก็ไม่ได้ เหตุไฉนพระองค์จึงทรงทอดพระเนตรดูคนผู้กระทำคดโกง แลนิ่งเงียบเสียเมื่อคนบาปนั้นกัดกินคนดีผู้ชอบธรรมนั้นยิ่งกว่าตัว" (ฮะบาฆูค 1:13) คุณสมบัติของพระเจ้าอีกประการคือ พระองค์ ยุติธรรม ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานบัลลังก์ของพระเจ้า (บทเพลงสรรเสริญ 89:14) ความจริงที่เราต้องยอมรับอันเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์และทรงเป็นผู้ยุติธรรม ดังนั้น ความบาปจะต้องมีการลงโทษ ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ใจโหดและเคียดแค้น (เหมือนพวกป่าเถื่อนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าพูดผิดเกี่ยวกับพระเจ้า) ถ้าเช่นนั้นก็คงจะขจัดมนุษย์ให้พ้นไปจากพระองค์โดยสิ้นเชิงตลอดกาล นั้นก็หมายความว่าเป็นจุดจบของมนุษย์ชาติ แต่ความจริงก็คือว่าพระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าอย่างนั้น พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ทรงเต็มไปด้วยความรัก (1โยฮัน 4:8) และเต็มไปด้วยความเมตตา" (เอเฟโซ 2:4) เพราะฉะนั้นปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า พระเจ้าที่เต็มไปด้วยความรักและพระเจ้าแห่งความเมตตาจะสามารถยกโทษมนุษย์ที่กบฏพยศต่อพระเจ้าอย่างไร?
อัครสาวกเปาโลได้บรรยายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือโรมบทที่3 พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรมและจะยกความผิดบาปของมนุษย์ไปได้อย่างไร? คำตอบคือพระเจ้าหาผู้ที่จะมายอมรับโทษแทนเรา "ผู้นั้น" ก็คือพระเยซูคริสต์เจ้าพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ยอมสละพระชนม์ของพระองค์ ยอมเป็นเครื่องบูชาไถ่โทษแทนเรา พระองค์เป็นผู้ชำระค่าราคาเพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด ยะซายาได้บรรยายถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้าในการรับโทษแทนมนุษย์ไว้ดังนี้ "เขาผู้นั้นถูกเจ็บเป็นบาดแผลก็เพราะการล่วงละเมิดของพวกเรา และถูกฟกช้ำก็เพราะความอสัตย์อธรรมของพวกเรา การลงโทษเพื่อให้เกิดความสุขแก่พวกเราไปตกอยู่กับเขาผู้นั้น และที่พวกเราหายเป็นปกติได้ก็เพราะรอยแผลเฆี่ยนของเขาผู้นั้น เราทั้งหลายได้หลงทางไปเสียแล้วเช่นเดียวกับแกะ เราต่างคนก็หันไปตามทางของตนเอง และพระยะโฮวาทรงให้บาปผิดทั้งหมดของพวกเราตกอยู่กับเขาผู้นั้น" (ยะซายา 53:5-6) พระประสงค์ของพระเจ้าต้องการสำแดงพระกรุณาธิคุณและพระเมตตาเพื่อไถ่โทษบาปของมนุษย์โดยยอมให้พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (โรม 3:24-26) "พระเยซูพระองค์เองทรงมีสภาพเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ทรงสละพระองค์เอง ยอมบังเกิดเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรม และสัมผัสกับความเป็นมนุษย์เหมือนเราทุกรูปแบบ พระองค์ทรงถูกทดลองทุกรูปแบบเหมือนเราทั้งหลาย แต่พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปแต่ประการใด" (เฮ็บราย 4:15)
โครงการแห่งความรอดของพระเจ้า - มนุษย์จะต้องทำประการใด?
GOD'S PLAN OF SALVATION - WHAT MANKIND MUST DO?
แม้ว่าพระเจ้าจะประทานความรอดให้มนุษย์ แต่ความรอดไม่ใช่ ปราศจากเงื่อนไข มนุษย์มีบทบาทในการรับผิดชอบด้วยในโครงการนี้ ถึงแม้ว่าพระเจ้าประทานความรอดให้โดยไม่คิดค่าอะไรจากเขา (ตามความหมายที่ว่าค่าราคานั้นได้ชำระแล้วโดยพระเยซูคริสต์) พระเจ้าจะไม่บีบบังคับผู้ใดให้ยอมรับเงื่อนไขที่จะรับความรอดโดยเด็ดขาด แต่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงจะต้องตัดสินใจด้วยตัวของเขาเองว่าจะเต็มใจรับความรอดที่พระเจ้าเสนอให้หรือเปล่า? มีเงื่อนไข "บางสิ่งบางอย่าง" อะไรที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อจะได้รับการอภัยโทษบาปและรับความรอด?
ในการที่พระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ พระเจ้าได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ถ้ามนุษย์ต้องการเป็นผู้ชอบธรรม เขาจะต้องดำเนินชีวิต "โดยความเชื่อ"(ดูหนังสือ ฮะบาฆูค 2:4, เฮ็บราย 10:38 , 11:6) โอกาสที่มนุษย์จะได้รับความรอดมีอยู่เสมอทุกยุคทุกสมัย แม้กระนั้น "ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ" ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ "เชื่อ" ข้อเท็จจริงบางอย่างเท่านั้น "การดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ" หมายความว่าเป็น การเชื่อฟังที่ปฏิบัติตาม สิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำด้วย
องค์ประกอบของความเชื่อมีสามประการดังนี้
(1) ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่เกิดจริงตามประวัติศาสตร์ และ
(2) ต้องมีใจเปิดด้วยการตั้งใจในการไว้วางใจพระเจ้า และ
(3) น้อมยอมฟังด้วยความเต็มใจ (การเชื่อฟัง) น้ำพระทัยพระเจ้า ยิ่งกว่านั้นเราควรจำไว้ว่าการน้อมยอมฟังมิได้หมายความว่าจะต้องมีเงื่อนไขในการปฏิบัติอย่างเดียวกัน แต่เงื่อนไขหลักที่จำเป็นต้องมีอยู่เสมออย่างขาดไม่ได้ก็คือการเชื่อฟัง แต่การเชื่อฟังในตัวมันเองไม่มีการตอบสนองเหมือนกันเสมอไป ตัวอย่างสมัยต้น ๆ ตอนที่พระเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ความเชื่อที่ตามมาด้วยการเชื่อฟังมีเงื่อนไขว่าคนในสมัยนั้นจะต้องเอาสัตว์เผาถวายเป็นเครื่องบูชาบนแท่น (เยเนซิศ 4:4) ภายหลังพระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติของโมเซให้แก่ชนชาติยิศราเอล (เอ็กโซโด 20) ภายใต้บัญญัติของโมเซการถวายเครื่องบูชาประจำปีต้องดำเนินต่อไปพร้อมกับมีการถือเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ ปัจจุบันเราไม่ได้อยู่ภายใต้บัญญัติของโมเซแล้ว ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ภายใต้บัญญัติใด ๆ ที่บังคับในเวลานั้น มนุษย์จะต้องมีความเชื่ออันเป็นที่ยอมรับ การเชื่อฟังตามน้ำพระทัยพระเจ้าเป็นข้อเรียกร้องที่สำคัญเสมอ
พระคัมภีร์สอนไว้ชัดเจนว่า "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม" ตั้งอยู่บนพื้นฐานตามพระคำของพระเจ้า ความเชื่อและการเชื่อฟังนั้นสำแดงออกด้วยการประพฤติตาม หนังสือเฮ็บราย บทที่ 11 ทั้งบทได้บันทึกเนื้อหาความเชื่อที่ตามมาด้วยการเชื่อฟัง เช่น "โดยความเชื่อเฮเบ็ลได้ถวายเครื่องบูชา" "โดยความเชื่อโนฮาเตรียมต่อนาวา" "โดยความเชื่ออับราฮามเชื่อฟังพระเจ้า" "โดยความเชื่อโมเซไม่ยินดีในการชั่ว" และตัวอย่างอื่น ๆ อีก ผู้ที่อ่าน เฮ็บราย 11:32-40 แค่เผิน ๆ ก็เข้าใจว่าบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อที่บันทึกไว้ว่า การปฏิบัติตาม ของพวกเขาได้กระทำตามโดยความเชื่อ ยาโกโบเขียนโดยได้รับการดลใจว่าความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติหรือไม่ปฏิบัติตามเป็นความเชื่อที่ตายแล้ว (ยาโกโบ 2:26) ถ้าเช่นนั้นการที่มนุษย์จะได้รับความรอดมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องคือ "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม" ปัจจุบันนี้คนจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้รับความรอดพ้นจากบาป?
พระคัมภีร์สอนไว้ชัดเจนว่า "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม" ตั้งอยู่บนพื้นฐานตามพระคำของพระเจ้า ความเชื่อและการเชื่อฟังนั้นสำแดงออกด้วยการประพฤติตาม หนังสือเฮ็บราย บทที่ 11 ทั้งบทได้บันทึกเนื้อหาความเชื่อที่ตามมาด้วยการเชื่อฟัง เช่น "โดยความเชื่อเฮเบ็ลได้ถวายเครื่องบูชา" "โดยความเชื่อโนฮาเตรียมต่อนาวา" "โดยความเชื่ออับราฮามเชื่อฟังพระเจ้า" "โดยความเชื่อโมเซไม่ยินดีในการชั่ว" และตัวอย่างอื่น ๆ อีก ผู้ที่อ่าน เฮ็บราย 11:32-40 แค่เผิน ๆ ก็เข้าใจว่าบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อที่บันทึกไว้ว่า การปฏิบัติตาม ของพวกเขาได้กระทำตามโดยความเชื่อ ยาโกโบเขียนโดยได้รับการดลใจว่าความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติหรือไม่ปฏิบัติตามเป็นความเชื่อที่ตายแล้ว (ยาโกโบ 2:26) ถ้าเช่นนั้นการที่มนุษย์จะได้รับความรอดมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องคือ "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม" ปัจจุบันนี้คนจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้รับความรอดพ้นจากบาป?
มีคำถามที่สำคัญที่ควรถามตรงนี้คือ
ประการแรก : คนจะสามารถรับความรอดได้ที่ไหน? คำตอบคือโดยพระเยซู อัครสาวกเปาโลตอบติโมเธียวว่า "เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงทนเอาการลำบากทุกอย่าง เพราะเห็นแก่พวกที่ถูกเลือกไว้นั้น เพื่อเขาจะได้ความรอดซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วยพร้อมทั้งสง่าราศีนิรันดร์" (2ติโมเธียว 2:10)
ประการที่สอง : เราจะได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณจิตต์ได้ที่ไหน? คำตอบคือพระพรฝ่ายวิญญาณจิตต์ทั้งสิ้นมีอยู่ "ในพระยูเซคริสต์" เท่านั้น เปาโลเขียนใน เอเฟโซ 1:3 "จงถวายสรรเสริญแก่พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ทรงโปรดประทานพรฝ่ายวิญญาณแก่เราทั้งหลายทุกประการอย่างในสวรรค์สถานโดยพระคริสต์"
ประการที่สาม : ซึ่งเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด เราจะเข้าส่วน "ในพระเยซูคริสต์" ได้อย่างไร? หรือถามเสียใหม่ว่า มนุษย์จะหลุดพ้นจากความผิดบาปของตนได้อย่างไร? "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม" มีเงื่อนไขอย่างไรเพื่อจะได้รับความรอดและทำให้คน "เข้าในพระเยซูคริสต์"?
ถนนพาไปสู่บ้าน : ความรอดโดย "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม"
THE ROAD HOME : SALVATION THROUGH "OBEDIENCE OF FAITH"
ทางเดียวเท่านั้นที่จะพบ ถนนที่พาไปสู่บ้าน คือสวรรค์ คือดำเนินไปตามทิศทางของพระเจ้าอย่าง ตรงไปตรงมา มีบางสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ปฏิบัติเพื่อจะรับความรอดอันเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้โดย "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม" ตามพระคำของพระเจ้าสอนไว้ว่าในการที่คนจะได้รับความรอดนั้นจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ถนนพาไปสู่บ้าน : ความรอดโดย "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม"
THE ROAD HOME : SALVATION THROUGH "OBEDIENCE OF FAITH"
ทางเดียวเท่านั้นที่จะพบ ถนนที่พาไปสู่บ้าน คือสวรรค์ คือดำเนินไปตามทิศทางของพระเจ้าอย่าง ตรงไปตรงมา มีบางสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ปฏิบัติเพื่อจะรับความรอดอันเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้โดย "ความเชื่อที่ปฏิบัติตาม" ตามพระคำของพระเจ้าสอนไว้ว่าในการที่คนจะได้รับความรอดนั้นจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ประการแรก : คนบาปจะต้อง ได้ยินได้ฟัง พระคำของพระเจ้า (โรม 10:17) แน่นอนถ้าคนไม่เคยได้ยินได้ฟังพระคำของพระเจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติตามพระดำรัสของพระเจ้าได้ ดังนั้นพระเจ้าสั่งว่ามนุษย์จะต้องได้ยินได้ฟังสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องความรอด
ประการที่สอง : คนบาปไม่สามารถได้รับความรอดได้ถ้าเขาไม่มีความเชื่อสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังดังนั้น พระเจ้าสั่งว่าความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความรอด (โยฮัน 3:16, กิจการ 16:31)
ประการที่สาม : คนบาปไม่สามารถได้รับความรอด ถ้าเขาไม่ยอมกลับใจเสียใหม่ จากความผิดบาปและแสวงหาการอภัยโทษ (ลูกา 13:3) การกลับใจเสียใหม่หมายความว่าคนนั้นรู้สึกเสียใจในความบาปที่ตนได้กระทำและหยุดไม่ทำสิ่งที่ผิด ๆ อีกต่อไป และเริ่มทำในสิ่งที่เขารู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ประการที่สี่ : เพราะพระเยซูคริสต์เป็นรากฐานแห่งความรอดของเรา พระเจ้าสั่งว่าคนบาปที่สำนึกและกลับใจแล้วต้องสารภาพความเชื่อต่อหน้าเพื่อนมนุษย์ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า (โรม 10:9-10) อย่างไรก็ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งสี่ประการไม่ได้เป็นคำสั่งของพระเจ้าทั้งหมด คือการได้ยินได้ฟังพระคำของพระเจ้า, มีความเชื่อ,การกลับใจเสียใหม่ และการสารภาพความเชื่อ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง แต่นั่นยังไม่สามารถลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ได้ คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ คนจะสามารถลบล้างความผิดบาปได้อย่างไร? พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ได้ตอบคำถามเอาไว้ พวกยิวได้ประหารพระเยซูบนไม้กางเขน ได้ถามคำถามต่ออัครสาวกเปโตร เมื่อคำเทศนาของเปโตรทำให้พวกเขาสำนึกในความผิดของเขา พวกเขาตระหนักดีว่าพวกเขาเป็นคนผิดบาปและต้องการความรอดพ้นบาปจากพระเจ้า พวกเขาจึงถามว่า "พี่น้องเอ๋ยเราจะทำอย่างไร?" (กิจการ 2:37) คำตอบของเปโตรชัดเจนมาก โดยตอบพวกเขาว่า "จงกลับใจเสียใหม่และ รับบัพติศมา ในนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อความผิดบาปของท่านจะทรงยกเสีย" (กิจการ 2:38) เซาโลก่อนที่เขาจะได้ชื่อใหม่ว่าเป็นอัครสาวกเปาโลสำหรับชนต่างชาติ เซาโลมีคำถามอย่างเดียวที่ต้องการทราบ ขณะที่เซาโลเดินทางไปยังเมืองดาเมเซ็กเพื่อจะไปข่มเหงคริสเตียนที่นั่นพระเยซูได้ปรากฏแก่เซาโลกลางทาง แสงสว่างทำให้เขาตาบอด (กิจการ 22) เซาโลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด? (กิจการ 22:10) อะนาเนียผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ไปพบกับเซาโลในเมือง อะนาเนียได้ตอบคำถามของเซาโลโดยสั่งว่า "เดี๋ยวนี้ท่านจะรอช้าอยู่ทำไม? จงลุกขึ้นรับบัพติศมาลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย" (กิจการ 22:16)
เพราะฉะนั้นคำตอบของพระคัมภีร์ที่ถูกต้องในการที่คนจะลบล้างความผิดบาปของตนได้อย่างไร? คำตอบของพระคัมภีร์ก็คือ เมื่อคนได้ยินฟังพระกิตติคุณ แล้วมีความเชื่อในคำประกาศนั้น แล้วได้กลับใจเสียใหม่จากความบาปในอดีต ซึ่งได้สารภาพพระเยซูว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ในการที่จะได้รับการอภัยโทษบาปก็จะต้องรับบัพติศมา (คำว่าบัพติศมาเป็นคำทับศัพท์มาจากภาษากรีก แบพติศโซ แปลว่า จุ่มมิดน้ำหรือจุ่มในน้ำ) ยิ่งกว่านั้นบัพติศมาทำให้คนสามารถ "เข้าส่วนในพระคริสต์" เปาโลได้บอกคริสเตียนกรุงโรมยุคแรกว่า "ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าเราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ได้รับบัพติศมานั้นเข้าส่วนในความตายของพระองค์ เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายก็ถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยบัพติศมา เข้าส่วนในความตายนั้น เพื่อพระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระรัศมีของพระบิดาเจ้าอย่างไร เราทั้งหลายจะได้ประพฤติตามชีวิตใหม่อย่างนั้น" (โรม 6:3-4) เปาโลได้บอกชาวฆะลาเตียว่า "เหตุว่าคนทั้งหลายที่รับบัพติศมาเข้าสนิทกับพระคริสต์แล้ว ก็ได้ตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์" (ฆะลาเตีย 3:27) ไม่ต้องประหลาดใจที่อัครสาวกเปโตรกล่าวว่าบัพติศมา "เป็นที่รอด" (1เปโตร 3:21)
ผู้เขียนพระคัมภีร์หลายคนได้พูดไว้ชัดเจนว่า ต่อเมื่อเราสัมผัสกับพระโลหิตของพระเยซูเจ้าเท่านั้นความบาปของเราจึงจะถูกชำระได้ (เอเฟโซ 1:7-8, วิวรณ์ 5:9, โรม 5:8-9, เฮ็บราย 9:12-14) คำถามจึงเกิดขึ้นว่าพระเยซูได้หลั่งไหลพระโลหิตของพระองค์ เมื่อใด? คำตอบก็คือพระองค์หลั่งไหลพระโลหิตตอนที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (โยฮัน 19:31-34) คำถามต่อไปก็คือ เราจะสัมผัสกับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับการอภัยโทษที่ไหนและอย่างไร? เปาโลได้ตอบคำถามนี้ เมื่อท่านได้เขียนไปถึงคริสเตียนที่กรุงโรม โดย บัพติศมาเท่านั้น เราสามารถสัมผัสกับพระโลหิตเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ (โรม 6:3-11) ยิ่งกว่านั้นอีก ความหวังบั้นปลายว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตายอีกและมีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์กับพระองค์มีการ เชื่อมโยงกับบัพติศมาด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเรา ไม่ได้รับบัพติศมา แสดงว่าเรายังคงอยู่ในความบาปต่อไปและถ้าเรา ไม่ได้รับบัพติศมา เราจะไม่มีความหวังในการเป็นขึ้นจากตายเพื่อนำเราไปสู่สวรรค์ได้
โปรดเข้าใจว่า บัพติศมา มีความสำคัญไม่น้อยกว่าหรือมากกว่าเงื่อนไขที่พระเจ้าสั่งไว้ในการที่จะได้รับความรอดแต่เป็นสิ่งที่ สำคัญและจำเป็นถ้าเราไม่ได้รับบัพติศมา เราก็จะไม่ได้รับความรอดเหมือนกัน เราจะไม่รอดด้วยเหมือนกันถ้าเราไม่ยอมกลับใจเสียใหม่จากความบาป บัพติศมาเป็นคำตรัสสั่งของพระเจ้าหรือเปล่า? คำตอบคือใช่ (กิจการ 2:38, 22:16, 1เปโตร 3:21) บางคนมีความปรารถนาดีสอนว่าคนสามารถรับความรอดโดย "ความเชื่อเท่านั้น" "คนถูกสอนให้เพียงแต่ อธิษฐานต่อพระเยซูให้พระองค์สถิตย์ในใจ" เพื่อเขาจะได้รับความรอดพ้นจากบาป คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ขัดแย้งกับคำสอนที่พระคัมภีร์บ่งไว้ชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะรับความรอด ประการแรก : พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าจะไม่ทรงฟังคำอธิษฐานของคนบาป (หมายความว่า พระเจ้าไม่ยกโทษบาปด้วยการตอบคำอธิษฐาน ดูบทเพลงสรรเสริญ 34:15-16, สุภาษิต 15:29, 28:9) ดังนั้นคนบาปสามารถอธิษฐานยาวเท่าใดหรือนานเท่าใด แต่พระเจ้าก็ยังบอกเงื่อนไขอย่างตรงไปตรงมาว่าคนจะรับความรอดอย่างไร ความจริงดังกล่าวนี้มีความหมายถูกต้องสมบูรณ์เพราะใน โยฮัน 14:6 "พระเยซูตรัสแก่เขาว่าเราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา" ประการที่สอง : พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่ามนุษย์ไม่สามารถรอดพ้นจากบาปโดยอาศัย "ความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว" ท่านยาโกโบได้กล่าวไว้ในจดหมายของท่านว่า "ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่า ที่คนใด ๆ เป็นคนชอบธรรมนั้นก็เนื่องด้วยการประพฤติ และไม่ใช่โดยความเชื่ออย่างเดียว" (ยาโกโบ 2:24) (เป็นที่น่าสังเกตว่า ยาโกโบ 2:24 แห่งเดียวที่บอกว่า "ความเชื่ออย่างเดียว"เป็นการผิด) ประเด็นนี้ก็เช่นเดียวกันมีความหมายถูกต้องสมบูรณ์ตามที่ท่านยาโกโบได้กล่าวไว้ในข้อต้น ๆ ว่า "ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าแต่องค์เดียวนั่นก็ดีอยู่แล้ว พวกปีศาจทั้งปวงก็เชื่อเหมือนกันและกลัวจนตัวสั่น" (ยาโกโบ 2:19) ไม่เป็นการเพียงพอที่จะมีความเชื่อ เพราะซาตานเองก็มีความเชื่อแต่ไม่ได้รับความรอด (ดู 2เปโตร 2:4) เพราะฉะนั้นท่านเห็นชัดแล้วว่า ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้ทำให้มนุษย์รอดขณะที่เรากำลังพูดถึงความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลเกี่ยวกับความรอดเป็นการสมควรที่ควรตั้งข้อสังเกตว่าพระคัมภีร์สอนว่ามีคนบางกลุ่มที่อยู่ในสภาพ "รอด" บนเงื่อนไขต่อพระพักตร์พระเจ้า ว่าสติปัญญาของเขาไม่สามารถสร้างหรือตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อที่เชื่อฟังได้ เด็ก ๆ ที่มีใจบริสุทธิ์ เป็นต้น ไม่ต้องรับบัพติศมาเพราะเขารอดแล้ว (มัดธาย 19:14) รวมทั้งผู้เหล่านั้นที่มีปัญหาทางด้านสมอง (คนปัญญาอ่อน) ดูยาโกโบ 4:17) ก็อยู่ในขอบข่ายนี้เช่นกัน
สรุป
ข่าวสารของพระคัมภีร์จากหนังสือเยเนซิศจนถึงหนังสือวิวรณ์ คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในฐานะเป็นคนผิดบาป และต้องการความช่วยเหลือเพื่อค้นหาหนทางที่จะ "กลับบ้าน" ให้พบ พระเจ้าไม่พอพระทัยกับการตายของคนชั่ว (ยะเอศเคล 18:23, 33:11) และพระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด (โยฮัน 3:16) แต่ในการที่จะได้รับความรอดได้นั้น บุคคลนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ตรงไปตรงมา ตามที่พระเจ้าสั่งไว้ ตามวิธีทางอย่าง ตรงไปตรงมา ที่ทรงสั่งไว้คือ เมื่อคนได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า, เชื่อ, กลับใจเสียใหม่ และสารภาพความเชื่อ และรับบัพติศมาเพื่อลบล้างความผิดบาป เมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้แล้วผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็น "คริสเตียน" ไม่มากไม่น้อยกว่านี้ พระเจ้าพระองค์เองจะทำหน้าที่ในการเพิ่มผู้เหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนใหม่เข้าส่วนในพระกายของพระบุตรของพระองค์คือ "คริสตจักร" บุตรของพระเจ้าที่สัตย์ซื่อในการเป็นคริสเตียนจนถึงวันตาย (วิวรณ์ 2:10) พระเจ้าสัญญาที่จะทรงประทานมงกุฎแห่งชีวิตให้และชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์อันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เพราะการเชื่อฟังของเขา และเพราะความเมตตาและพระกรุณาธิคุณของพระเจ้า (โยฮัน 14:15, เอเฟโซ 2:8-9, โรม 1:5) เป็นความคิดที่ดีมากในการที่จะได้รับ "ชีวิตที่ครบบริบูรณ์" (โยฮัน 10:10) และมี "สันติสุขที่เหลือจะเข้าใจได้" (ฟิลิปปอย 4:7) ทั้งในโลกนี้ เวลานี้ และหลังจากตายจะได้รับบำเหน็จรางวัลคือบ้านซึ่งเป็นสวรรค์ตลอดกาล (โยฮัน 14:2-3) เป็นความคิดที่น่าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นคำตอบของพระคัมภีร์ที่ถูกต้องในการที่คนจะลบล้างความผิดบาปของตนได้อย่างไร? คำตอบของพระคัมภีร์ก็คือ เมื่อคนได้ยินฟังพระกิตติคุณ แล้วมีความเชื่อในคำประกาศนั้น แล้วได้กลับใจเสียใหม่จากความบาปในอดีต ซึ่งได้สารภาพพระเยซูว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ในการที่จะได้รับการอภัยโทษบาปก็จะต้องรับบัพติศมา (คำว่าบัพติศมาเป็นคำทับศัพท์มาจากภาษากรีก แบพติศโซ แปลว่า จุ่มมิดน้ำหรือจุ่มในน้ำ) ยิ่งกว่านั้นบัพติศมาทำให้คนสามารถ "เข้าส่วนในพระคริสต์" เปาโลได้บอกคริสเตียนกรุงโรมยุคแรกว่า "ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าเราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ได้รับบัพติศมานั้นเข้าส่วนในความตายของพระองค์ เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายก็ถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยบัพติศมา เข้าส่วนในความตายนั้น เพื่อพระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระรัศมีของพระบิดาเจ้าอย่างไร เราทั้งหลายจะได้ประพฤติตามชีวิตใหม่อย่างนั้น" (โรม 6:3-4) เปาโลได้บอกชาวฆะลาเตียว่า "เหตุว่าคนทั้งหลายที่รับบัพติศมาเข้าสนิทกับพระคริสต์แล้ว ก็ได้ตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์" (ฆะลาเตีย 3:27) ไม่ต้องประหลาดใจที่อัครสาวกเปโตรกล่าวว่าบัพติศมา "เป็นที่รอด" (1เปโตร 3:21)
ผู้เขียนพระคัมภีร์หลายคนได้พูดไว้ชัดเจนว่า ต่อเมื่อเราสัมผัสกับพระโลหิตของพระเยซูเจ้าเท่านั้นความบาปของเราจึงจะถูกชำระได้ (เอเฟโซ 1:7-8, วิวรณ์ 5:9, โรม 5:8-9, เฮ็บราย 9:12-14) คำถามจึงเกิดขึ้นว่าพระเยซูได้หลั่งไหลพระโลหิตของพระองค์ เมื่อใด? คำตอบก็คือพระองค์หลั่งไหลพระโลหิตตอนที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (โยฮัน 19:31-34) คำถามต่อไปก็คือ เราจะสัมผัสกับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้รับการอภัยโทษที่ไหนและอย่างไร? เปาโลได้ตอบคำถามนี้ เมื่อท่านได้เขียนไปถึงคริสเตียนที่กรุงโรม โดย บัพติศมาเท่านั้น เราสามารถสัมผัสกับพระโลหิตเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ (โรม 6:3-11) ยิ่งกว่านั้นอีก ความหวังบั้นปลายว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตายอีกและมีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์กับพระองค์มีการ เชื่อมโยงกับบัพติศมาด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเรา ไม่ได้รับบัพติศมา แสดงว่าเรายังคงอยู่ในความบาปต่อไปและถ้าเรา ไม่ได้รับบัพติศมา เราจะไม่มีความหวังในการเป็นขึ้นจากตายเพื่อนำเราไปสู่สวรรค์ได้
โปรดเข้าใจว่า บัพติศมา มีความสำคัญไม่น้อยกว่าหรือมากกว่าเงื่อนไขที่พระเจ้าสั่งไว้ในการที่จะได้รับความรอดแต่เป็นสิ่งที่ สำคัญและจำเป็นถ้าเราไม่ได้รับบัพติศมา เราก็จะไม่ได้รับความรอดเหมือนกัน เราจะไม่รอดด้วยเหมือนกันถ้าเราไม่ยอมกลับใจเสียใหม่จากความบาป บัพติศมาเป็นคำตรัสสั่งของพระเจ้าหรือเปล่า? คำตอบคือใช่ (กิจการ 2:38, 22:16, 1เปโตร 3:21) บางคนมีความปรารถนาดีสอนว่าคนสามารถรับความรอดโดย "ความเชื่อเท่านั้น" "คนถูกสอนให้เพียงแต่ อธิษฐานต่อพระเยซูให้พระองค์สถิตย์ในใจ" เพื่อเขาจะได้รับความรอดพ้นจากบาป คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ขัดแย้งกับคำสอนที่พระคัมภีร์บ่งไว้ชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะรับความรอด ประการแรก : พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าจะไม่ทรงฟังคำอธิษฐานของคนบาป (หมายความว่า พระเจ้าไม่ยกโทษบาปด้วยการตอบคำอธิษฐาน ดูบทเพลงสรรเสริญ 34:15-16, สุภาษิต 15:29, 28:9) ดังนั้นคนบาปสามารถอธิษฐานยาวเท่าใดหรือนานเท่าใด แต่พระเจ้าก็ยังบอกเงื่อนไขอย่างตรงไปตรงมาว่าคนจะรับความรอดอย่างไร ความจริงดังกล่าวนี้มีความหมายถูกต้องสมบูรณ์เพราะใน โยฮัน 14:6 "พระเยซูตรัสแก่เขาว่าเราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา" ประการที่สอง : พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่ามนุษย์ไม่สามารถรอดพ้นจากบาปโดยอาศัย "ความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว" ท่านยาโกโบได้กล่าวไว้ในจดหมายของท่านว่า "ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่า ที่คนใด ๆ เป็นคนชอบธรรมนั้นก็เนื่องด้วยการประพฤติ และไม่ใช่โดยความเชื่ออย่างเดียว" (ยาโกโบ 2:24) (เป็นที่น่าสังเกตว่า ยาโกโบ 2:24 แห่งเดียวที่บอกว่า "ความเชื่ออย่างเดียว"เป็นการผิด) ประเด็นนี้ก็เช่นเดียวกันมีความหมายถูกต้องสมบูรณ์ตามที่ท่านยาโกโบได้กล่าวไว้ในข้อต้น ๆ ว่า "ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าแต่องค์เดียวนั่นก็ดีอยู่แล้ว พวกปีศาจทั้งปวงก็เชื่อเหมือนกันและกลัวจนตัวสั่น" (ยาโกโบ 2:19) ไม่เป็นการเพียงพอที่จะมีความเชื่อ เพราะซาตานเองก็มีความเชื่อแต่ไม่ได้รับความรอด (ดู 2เปโตร 2:4) เพราะฉะนั้นท่านเห็นชัดแล้วว่า ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้ทำให้มนุษย์รอดขณะที่เรากำลังพูดถึงความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลเกี่ยวกับความรอดเป็นการสมควรที่ควรตั้งข้อสังเกตว่าพระคัมภีร์สอนว่ามีคนบางกลุ่มที่อยู่ในสภาพ "รอด" บนเงื่อนไขต่อพระพักตร์พระเจ้า ว่าสติปัญญาของเขาไม่สามารถสร้างหรือตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อที่เชื่อฟังได้ เด็ก ๆ ที่มีใจบริสุทธิ์ เป็นต้น ไม่ต้องรับบัพติศมาเพราะเขารอดแล้ว (มัดธาย 19:14) รวมทั้งผู้เหล่านั้นที่มีปัญหาทางด้านสมอง (คนปัญญาอ่อน) ดูยาโกโบ 4:17) ก็อยู่ในขอบข่ายนี้เช่นกัน
สรุป
ข่าวสารของพระคัมภีร์จากหนังสือเยเนซิศจนถึงหนังสือวิวรณ์ คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในฐานะเป็นคนผิดบาป และต้องการความช่วยเหลือเพื่อค้นหาหนทางที่จะ "กลับบ้าน" ให้พบ พระเจ้าไม่พอพระทัยกับการตายของคนชั่ว (ยะเอศเคล 18:23, 33:11) และพระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด (โยฮัน 3:16) แต่ในการที่จะได้รับความรอดได้นั้น บุคคลนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ตรงไปตรงมา ตามที่พระเจ้าสั่งไว้ ตามวิธีทางอย่าง ตรงไปตรงมา ที่ทรงสั่งไว้คือ เมื่อคนได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า, เชื่อ, กลับใจเสียใหม่ และสารภาพความเชื่อ และรับบัพติศมาเพื่อลบล้างความผิดบาป เมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้แล้วผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็น "คริสเตียน" ไม่มากไม่น้อยกว่านี้ พระเจ้าพระองค์เองจะทำหน้าที่ในการเพิ่มผู้เหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนใหม่เข้าส่วนในพระกายของพระบุตรของพระองค์คือ "คริสตจักร" บุตรของพระเจ้าที่สัตย์ซื่อในการเป็นคริสเตียนจนถึงวันตาย (วิวรณ์ 2:10) พระเจ้าสัญญาที่จะทรงประทานมงกุฎแห่งชีวิตให้และชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์อันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เพราะการเชื่อฟังของเขา และเพราะความเมตตาและพระกรุณาธิคุณของพระเจ้า (โยฮัน 14:15, เอเฟโซ 2:8-9, โรม 1:5) เป็นความคิดที่ดีมากในการที่จะได้รับ "ชีวิตที่ครบบริบูรณ์" (โยฮัน 10:10) และมี "สันติสุขที่เหลือจะเข้าใจได้" (ฟิลิปปอย 4:7) ทั้งในโลกนี้ เวลานี้ และหลังจากตายจะได้รับบำเหน็จรางวัลคือบ้านซึ่งเป็นสวรรค์ตลอดกาล (โยฮัน 14:2-3) เป็นความคิดที่น่าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง