ความเชื่อ และการประพฤติ
ในบทเรียนสามบทแรก เราได้ศึกษาถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติยิศราเอล และพระเจ้าได้ทรงนำเขามั้งหลายออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ ได้ทรงโปรดประทานคำสัญญาไมตรีเดิมที่ภูเขาซีนาย และได้ทรงยอมให้พระบุตรสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อความบาปของเราทั้งหลาย ซึ่งเดี๋ยวนี้เราอยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีอันนี้ บทนี้จะเริ่มศึกษาถึง "หน้าที่" ของมนุษย์ต่อพระเจ้า เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนคำสัญญาไมตรีใหม่มีผลบังคับใช้ หลายวันต่อมาหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์แล้ว ในวันเทศกาลเพ็นเทคศเต ฝูงชนเป็นจำนวนมากได้ยินอัครสาวกเปโตรเทศนาครั้งแรก ในคำเทศนาเปโตรได้กล่าวหาฝูงชนนั้นว่าเป็นผู้ที่ได้ฆ่าพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า "เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวแก่เปโตรและอัครสาวกอื่นว่า พี่น้องเอ๋ยเราจะทำอย่างไร ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อความผิดบาปของท่านจะทรงยกเสีย แล้วท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์" (กิจการ 2.37-38) ในวันนั้นพระคัมภีร์กล่าวว่ามีสามพันคนเข้ารับบัพติศมา เพื่อความผิดบาปในอดีตจะยกเสีย และเขาเหล่านั้นได้ถูกนับเข้าสู่คริสตจักร (กิจการ 2.41-47)
ยังมีชาวยิวอื่น ๆ ซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ "แม้ในพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อถือพระองค์ แต่เขามิได้รับพระองค์โดยเปิดเผย กลัวว่าพวกฟาริซายจะขับไล่เขาเสียจากธรรมศาลา ด้วยว่าเขารักความสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าความสรรเสริญของพระเจ้า" (โยฮัน 12.42-43) จากตัวอย่างอันนี้เราเห็นได้ชัดทีเดียวว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่มีความเชื่อแต่ไม่ปฏิบัติตาม กับความเชื่อที่ปฏิบัติตาม เป็นแบบแผนแห่งความรอดในพระคัมภีร์ใหม่ เป็นสาระสำคัญที่เราจะเรียนในบทเรียนนี้
เราได้รับความรอดโดยความเชื่อ
ในเอเฟโซ 2.8 เปาโลกล่าวว่า "ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่แต่ตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้" ความจริงที่สำคัญเป็นที่ยอมรับทั่วไป แต่ก็ยังมีการเข้าใจผิดกันมาก ในเฮ็บราย 11.6 เราอ่านพบว่า "แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้ เพราะว่าผู้ที่มาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์" และอีกข้อหนึ่ง ในกิจการ 16.31 เปาโลได้บอกกับนายคุกชาวฟิลิปปอยว่า "จงเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้าและท่านจะรอดได้..."
พระเยซูได้กล่าวไว้ใน มาระโก 16.16 "ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด..." ถ้าปราศจากความเชื่อเราไม่มีความหวังเลย บางคนอาจจะให้เหตุผลว่า ความเชื่อของขุนนางผู้ที่ไม่ยอมรับโดยเปิดเผยเป็นความเชื่อที่พระเจ้ายอมรับเหมือนกับความเชื่อของสามพันคนในวันเพ็นเทคศเตที่เชื่อฟังพระกิตติคุณ พระคัมภีร์สอนว่าความเชื่อของเราจะเป็นที่ยอมรับแก่พระเจ้าได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับฐานะหรือเงื่อนไขที่เราดำรงอยู่
สถานะของความเชื่อ
พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บรรยายถึงสถานะหรือเงื่อนไขสองประการซึ่งความเชื่อดำรงอยู่ สถานะอันหนึ่งความเชื่อจะนำเราไปถึงความรอด และอีกสถานะหนึ่งความเชื่อนั้นใช้การอะไรไม่ได้เลย จะเป็นที่แช่งสาปมากกว่าเป็นพร สถานะสองประการคือ ความเชื่อที่ตาย และความเชื่อที่มีชีวิตอันประกอบด้วยความประพฤติ
ใน ยาโกโบ 2.17 พระคัมภีร์กล่าวว่า ความเชื่อถ้าปราศจากการประพฤติ ความเชื่อก็ตายอยู่ในตัวเองแล้ว เหมือนกับสถานของร่างกายมนุษย์ซึ่งกำลังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว ความเชื่อที่มีชีวิตเหมือนร่างกายที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งสำแดงออกโดยการกระทำ ความเชื่อที่ตายเหมือนร่างกายที่ตายแล้วไม่มีชีวิตชีวาอะไร ความเชื่อที่ตายเป็นความเชื่อเท่านั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ได้ประพฤติตามคำสั่งของพระคริสต์ ความเชื่อแบบนี้เป็นความเชื่อของ "ขุนนาง" ซึ่งไม่ยอมรับโดยเปิดเผย พระคัมภีร์ยังบอกว่าแม้พญามารก็มีความเชื่อแบบนี้ด้วย แต่ความเชื่อแบบนี้ไม่มีคุณค่าแก่ความรอดเลย ในยาโกโบ 2.19 ได้ตำหนิคำสอนเกี่ยวกับความรอดที่ผิดโดยเอาความเชื่อแยกออกจากการเชื่อฟังที่ประกอบด้วยความประพฤติตามพระคำของพระเจ้า "ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าแต่องค์เดียวนั่นก็ดีอยู่แล้ว พวกปีศาจทั้งปวงก็เชื่อเหมือนกันและกลัวจนตัวสั่น"
ยาโกโบได้ชี้ให้เห็นว่าปราศจากความเชื่อจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้ ในที่สุดยาโกโบได้สรุปถึงเรื่องนี้ไว้ในข้อสุดท้ายว่า "ด้วยว่ากายอันปราศจากจิตต์วิญญาณตายแล้วฉันใด ความเชื่ออันปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วฉันนั้น" ยาโกโบหมายความว่าเหมือนกับร่างกายที่ตายแล้วย่อมใช้การไม่ได้ เพระปราศจากจิตต์วิญญาณ เพราะฉะนั้นความเชื่อที่ตายแล้วคือ ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติ ตามคำตรัสสั่งของพระเยซูคริสต์ก็ตายแล้วฉันนั้น
เราอาจมีความเชื่อในพระเยซู และแม้เราเคยอ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน นอกจากว่าเราปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์แล้ว ความเชื่อของเราจะพิสูจน์ว่าเราตายแล้ว และเราจะพินาศชั่วนิรันดร์แน่นอน พระคัมภีร์ได้สอนชัดเจนทีเดียวถึงความแตกต่างระหว่างความเชื่อที่ตาย ความเชื่อที่ใช้การไม่ได้ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่นำเราถึงความรอด และกระทำกิจมีชีวิตชีวา ความเชื่ออันประกอบด้วยการประพฤติเป็นความเชื่อที่ชอบพระทัยพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไม่มีสักตัวอย่างเดียวที่มีผู้ที่รอดโดยความเชื่อที่ตายแล้ว เปาโลได้อธิบายไว้ถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนทีเดียว ฆะลาเตีย 5.6 เมื่อเขาได้กล่าวว่าความเชื่อที่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าคือ "...ความเชื่อต่างหากซึ่งกระทำกิจด้วยความรัก" ตัวอย่างการกลับใจบังเกิดใหม่ทุก ๆ ราย ก็ชี้ให้เห็นว่าบุคคลจะรอดได้อันมีความเชื่อซี่งบวกด้วยความประพฤติที่ปฏิบัติตามบัญญัติของพระเจ้า ยาโกโบกล่าวว่า "จงสำแดงความเชื่อของท่านที่ปราศจากการประพฤติให้ข้าพเจ้าเห็น และข้าพเจ้าจะนำการประพฤติของข้าพเจ้ามาสำแดงให้ท่านเห็นว่าความเชื่อนั้นเป็นอย่างไร" (ยาโกโบ 2.18) หลักการดังกล่าวนี้ได้มีอุทาหรณ์กล่าวไว้ในหนังสือเฮ็บราย บทที่ 11 อย่างมากมาย หนังสือเฮ็บราย บทที่ 11 มักจะได้รับขนานนามว่า "บทบาทของบุคคลสำคัญที่ได้รับเกียรติในพระคัมภีร์เดิม"
ในบทที่ 11 ของหนังสือเฮ็บรายอันสำคัญนี้ ผู้เขียนได้บรรยายให้เราทราบถึงบุคคลหลายท่านซึ่งได้รับความรอด เพราะความเชื่อของเขา ทุก ๆ รายที่กล่าวไว้ ความเชื่อของเขาทั้งหลายประกอบด้วยการประพฤติตาม ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างบุคคลสำคัญ ๆ เช่น
1. เฮเบล โดยความเชื่อ ได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐมาถวาย (ความประพฤติ ข้อ 4)
2. โนฮา โดยความเชื่อ ได้ต่อนาวาตามที่พระเจ้าได้บอก (ความประพฤติ ข้อ 7)
3. อับราฮาม โดยความเชื่อ ได้จากบ้านเรือนของตน และได้เสียสละบุตรชายของตนเป็นเครื่องบูชา (ความประพฤติ ข้อ 8 และ 17)
(ถ้าเป็นไปได้ นักศึกษาควรอ่าน ยาโกโบ บทที่ 2 และ เฮ็บราย บทที่ 11)
ข้อพระคำที่เกี่ยวกับการเชื่อฟัง
ข้อความต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อพระคัมภีร์ที่ได้หยิบยกมาในที่นี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า เราไม่เพียงแต่เชื่อในพระเยซูเท่านั้น แต่เราต้องเชื่อฟังข้อบังคับในพระกิตติคุณในการที่จะได้รับความรอด มัดธาย 7.21 "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า พระองค์เจ้าเข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าในเมืองสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์จึงจะเข้าได้"
กิจการ 10.34-35 "พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชนประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์ และประพฤติในทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์"
โยฮัน 15.14 "ถ้าท่านทั้งหลายจะประพฤติตามที่เราสั่งสอนท่าน ท่านจะเป็นมิตรสหายของเรา"
2เธซะโลนิเก 1.7-8 "เมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ปรากฏพร้อมกับหมู่ทูตสวรรค์ของพระองค์ผู้มีฤทธิ์ดังเปลวเพลิง และจะสนองโทษแก่คนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และไม่เชื่อฟังกิตติคุณของพระเยซูเจ้าของเรา"
1เปโตร 1.22 "โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของตนแล้ว ด้วยเชื่อฟังความจริงจนมีใจรักพวกนี่น้องด้วยความรักอันแท้"
เฮ็บราย 5.9 "และเมื่อถึงที่สำเร็จแล้ว พระองค์ก็เลยทรงเป็นผู้เริ่มจัดความรอดนิรันดร์ให้แก่คนทั้งหลายที่เชื่อฟังพระองค์"
1โยฮัน 2.4 "คนใด ๆ ที่ว่า ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสา"
โรม 6.16 "ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านจะยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้นั้น คือเป็นทาสกระทำผิดจนถึงความตายก็ดีหรือฟังประพฤติการดีจนถึงความชอบธรรมก็ดี"
1โยฮัน 5.3 "เพราะว่านี่แหละเป็นความรักของพระเจ้า คือว่าให้เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์หาหนักใจไม่"
โปรดดู 1ซามูเอล 15.16-24, ท่านผู้ประกาศ 12.13-14, มัดธาย 7.24-27
เราไม่รอดโดยความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น
จากข้อความเหล่านี้เราเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าบุคคลจะได้รับความรอดโดยความเชื่อแล้วก็ตาม แต่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้รับความรอดโดย "ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น" คำสอนแบบนี้ไม่เพียงแต่ตัดเอาบัพติศมาออกไปเสียจากโครงการแห่งความรอดแล้ว ก็ยังตัดเอาความจำเป็นอย่างอื่น เช่น การกลับใจเสียใหม่ และความรัก ออกไปอีกด้วย มีข้อความหลายตอนที่สอนว่าเรารอดโดยความเชื่อ สิ่งสำคัญที่เราต้องระลึกไว้เสมอ เมื่อเราได้รับความรอดโดยความเชื่อ คำตอบที่ได้จากข้อพระธรรมก็ชัดมากทีเดียว เราจะได้รับความรอดโดยความเชื่อของเราก็ต่อเมื่อความเชื่อนั้นได้กระทำกิจโดยการปฏิบัติตาม เพราะ "ความเชื่อปราศจากการประพฤติ ความเชื่อนั้นก็ตาย" และ "ปีศาจก็เชื่อด้วยและเกรงกลัวจนตัวสั่น" (ยาโกโบ 2.17, 19)
พระคัมภีร์จะปรับเอาถึงขนาดหนักแก่ทฤษฎีของมนุษย์ที่สอนว่า เราจะเป็นผู้ชอบธรรมได้โดย "ความเชื่อเท่านั้น" ซึ่งกล่าวเลี่ยงออกจากการประพฤติที่เชื่อฟังและปฏิบัติตาม เมื่อความจริงมิได้กล่าวดังนั้น "ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่า ที่คนใด ๆ เป็นคนชอบธรรมนั้นก็เนื่องด้วยการประพฤติ และไม่ใช่โดยความเชื่ออย่างเดียว" (ยาโกโบ 2.24)
ความสัมพันธ์ของความเชื่อและการประพฤติ
พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่าความเชื่อนั้นมีมากกว่าหนึ่งชนิด ฉันใดก็ย่อมมี "การประพฤติ" มากกว่าหนึ่งชนิดขึ้นไปด้วยเหมือนกันฉันนั้น พระคัมภีร์ได้บรรยายกิจหรือความประพฤติไว้สี่อย่างต่างกัน กิจสามชนิดที่จะกล่าวต่อไปนี้ไม่มีคุณค่าอะไรเลยสำหรับความรอดของเราทั้งหลาย แต่กิจอันที่สี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง บุคคลจะเป็นผู้ชอบธรรมโดยปราศจากกิจประการที่สี่นี้ไม่ได้ (ยาโกโบ 2.24) กิจหรือความประพฤติสี่ประการ มีดังต่อไปนี้
1. กิจการของเนื้อหนัง กิจเหล่านี้เป็นกิจการของอธรรม เช่น การล่วงประเวณี, การฆ่ากัน และการเมาเหล้า กิจของเนื้อหนังได้บรรยายไว้ใน ฆะลาเตีย 5.19-21
2. กิจของเราเอง กิจเหล่านี้เป็นกิจของผู้เหล่านั้นที่หวังจะช่วยตนเองให้ได้รับความรอดโดยความสามารถของตนเอง แทนที่จะพึ่งในพระเจ้า กิจเหล่านี้รวมทั้งการนมัสการรูปเคารพที่ทำด้วยมือมนุษย์ และรวมทั้งศาสนาของมนุษย์อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความคิดของมนุษย์ไม่ใช่มาจากพระเจ้า (กิจการ 7.41, 2ติโมเธียว 1.19)
3. กิจที่ประพฤติตามบัญญัติของโมเซ ตามที่เราได้ศึกษาแล้วในบทที่สาม บัญญัติแห่งคำสัญญาไมตรีเดิมได้สิ้นสุดลงเมื่อพระคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพราะฉะนั้นเปาโลจึงได้กล่าวว่าเดี๋ยวนี้เราไม่ได้อยู่ภายใต้บัญญัติอันนี้ "เพราะว่าโดยการประพฤติตามพระบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่อยู่ในเนื้อหนังจะเป็นคนชอบธรรมได้" (ฆะลาเตีย 2.16)
4. กิจที่เชื่อฟังและประพฤติตาม กิจเหล่านี้เป็นกิจที่เชื่อฟังพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ถ้าปราศจากกิจเหล่านี้เราไม่สามารถ "เข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้" (มัดธาย 7.21, ติโต 1.16, 1เธซะโลนิเก 1.7-9)
นี่จึงอธิบายให้เห็นว่าทำไมเปาโลกล่าวไว้ใน เอเฟโซ 2.9 ว่า เราไม่สามารถรอดโดยความประพฤติ เมื่อยาโกโบกล่าวว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมโดยความประพฤติ (ยาโกโบ 2.24) แต่เปาโลหมายถึงกิจการที่เรากระทำ (ข้อ 8) ขณะเมื่อยาโกโบพูดถึงกิจแห่งการเชื่อฟัง (ยาโกโบ 2.14-21) ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราสามารถสร้างบุญกุศลเพื่อจะไปสวรรค์ได้ โนฮามิได้สร้างความดีโดยการต่อนาวาเพื่อจะได้รับความรอด ยะโฮซูอะมิได้ลงทุนอะไรเพื่อได้มาซึ่งเมืองยะริโฮ เมื่อได้เดินรอบกำแพงเมืองยะริโฮ ชนชาติยิศราเอลมิได้รับแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาจะให้ เพียงแต่เขาทั้งหลายได้เดินทางจากประเทศอียิปต์ ตัวอย่างเหล่านั้นก็เหมือนกับความรอดที่เราจะได้รับโดยพระเยซู ความรอดนั้นเป็นของประทานจากพระเจ้า แม้ว่าของประทานที่เราจะได้รับนั้นเราจะต้องแสดงออกโดยการเชื่อฟังและการประพฤติตาม เพราะฉะนั้นความเชื่อถ้าปราศจากการประพฤติตามก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย (ข้อพระธรรมเพิ่มเติม โปรดดู ลูกา 6.46-49, โรม 16.26, 1เปโตร 4.17-18, ฟิลิปปอย 2.12, โยฮัน 1.12)
หนทางของผู้ที่ไม่เชื่อฟัง
เมื่อถึงตอนนี้ท่านคงแปลกใจว่าทำไมบทเรียนทั้งหมดจะหนักไปในรูปความสัมพันธ์ของความเชื่อและการเชื่อฟัง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่ามีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่เชื่อฟังและปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้า โดยที่คนเหล่านั้นไม่ตระหนักว่าเขาได้ขัดคำสั่งอย่างใหญ่หลวง พระคัมภีร์สอนว่ามีสามทางที่มนุษย์จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า
1. ละเมิดสิ่งที่พระเจ้าทรงห้าม ทางที่เห็นได้ชัดซึ่งทำให้เราอาจะไม่เชื่อฟังพระเจ้าโดยการละเมิดหรือขัดคำสั่งที่พระองค์ได้เจาะจงห้ามเอาไว้โดยเฉพาะ อาดามและฮาวาได้กบฏต่อพระเจ้าโดยการที่ได้รับประทานผลไม้ที่พระเจ้าทรงห้าม (เยเนซิศ 2.17) หลักการอันเดียวยังคงใช้ปฏิบัติในพระคัมภีร์ใหม่ หลังจากที่เปาโลได้พรรณาถึง "กิจของเนื้อหนัง" เปาโลได้กล่าวสรุปไว้ดังนี้ "คนเหล่านั้นที่กระทำการเช่นนั้นจะรับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้" (ฆะลาเตีย 5.19-22)
2. ล้มเหลวในการที่จะปฏิบัติตามคำตรัสสั่งของพระเจ้า ยาโกโบกล่าวว่า "คนใดที่รู้จักกระทำการดีและไม่ได้กระทำ บาปจึงมีแก่คนนั้น" (ยาโกโบ 4.17) ถึงแม้ว่าคำตรัสสั่งของพระเจ้าจะดูเหมือนไร้สาระ หรือดูเหมือนว่าไม่จำเป็น แม้กระนั้นเราก็จะต้องรักษาถ้าเราอยากได้รับความรอด พระคัมภีร์กล่าวว่า ความคิดของพระเจ้าไม่เหมือนกับความคิดของมนุษย์ (ยะซายา 55.8-9) มีคำตรัสสั่งของพระเจ้ามากมายที่มนุษย์ได้ปฏิเสธเพราะไม่เห็นความสำคัญ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า คำสั่งเหล่านั้นสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าไม่เช่นนั้นพระองค์ก็คงไม่ตรัสสั่งไว้
แม่ทัพนามานผู้เป็นโรคเรื้อนเป็นตัวอย่างอันดีถึงเรื่องการไม่เชื่อฟัง (2พงศาวดารกษัตริย์ 5.1-14) ครั้งแรกเมื่อนามานได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้จุ่มตัวเองลงในแม่น้ำยาระเดนเจ็ดครั้ง เพราะเขาจะได้หายเป็นปกติจากโรคเรื้อน แต่นามานครั้งแรกได้ปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะเห็นว่าคำสั่งนั้นไม่มีเหตุผลเลย นามานได้ออกไปด้วยความโกรธ แต่นามานได้กลับใจใหม่ คือได้กลับเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าที่เขาคิดว่าเป็นเรื่อง "โง่เขลา" การเชื่อฟังของนามานยังผลทำให้เขาหายสะอาดเป็นปกติ แท้จริง "ปัญญาของโลกนี้เป็นอปัญญาเฉพาะพระเจ้า" (1โกรินโธ 3.19) หลายครั้งหลายหนในประวัติศาสตร์ซึ่งมนุษย์มักไม่เห็นความสำคัญในการที่จะเชื่อฟังคำตรัสสั่งของพระเยซูคริสต์ พวกเหล่านี้ได้กระทำดังนั้นเพราะเนื่องจากผู้นำในองค์การศาสนา, คริสตจักร หรือที่ประชุมปรึกษาภายในวงการศาสนาลงความเห็นเลือกเอาตามใจชอบ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าสิ่งที่เขาเลือกนั้นถูกต้องตามสายพระเนตรของพระเจ้า
3. โดยการปฏิบัติที่ไม่ได้อาศัยอำนาจของพระเจ้า อีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นวิธีที่มนุษย์มักไม่เชื่อฟังก็คือ มุสาในการใช้อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าอันไม่ถูกต้อง ในข้อนี้มีหลักการ 2 ประเภท คือใช้คำของมนุษย์แทนคำสั่งอันแท้ของพระเจ้า และประการที่ 2 คือ ผู้ที่เพิ่มเติมคำตรัสสั่งที่ปฏิบัติในพระกิตติคุณซึ่งเราไม่มีอำนาจที่จะเพิ่มเติมได้ พระเยซูได้กล่าวถึงความบาปอันนี้ไว้ดังนี้ "คนเช่นนี้นับถือเราด้วยริมฝีปาก แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา เขาปฏิบัติเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ" (มัดธาย 15.9) ตลอดทุกยุคทุกสมัยมนุษย์มีความรู้สึกว่า เป็นการ "ถูก" ที่จะเพิ่มเติมพระคำของพระเจ้า และนมัสการตามอำเภอใจของตนเอง โดยที่พระเจ้ามิได้ให้อำนาจไว้เลย การกระทำอย่างนี้ พระเจ้าทรงกล่าวโทษแก่ผู้ที่ขัดคำสั่งทุกยุคทุกสมัย เป็นเวลา 1500 ปีก่อนคริสตศักราช โมเซได้เขียนไว้ว่า "เจ้าทั้งหลายอย่าได้เพิ่มเติมคำที่เราสั่งสอนเจ้าทั้งหลาย และอย่าได้ลดหย่อนจากถ้อยคำนั้น เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้ประพฤติตามข้อบัญญัติแห่งพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า ซึ่งเราได้สั่งเจ้าทั้งหลาย" (พระบัญญัติ 4.2) ในพระคัมภีร์ใหม่อัครสาวกโยฮันกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ทุก ๆ คนที่ได้ยินถ้อยคำในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มข้อความในเรื่องราวพยากรณ์ของหนังสือนี้ พระเจ้าจะทรงเพิ่มภัยทรมานที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ให้แก่ผู้นั้น ๆ และถ้าผู้ใดจะลดข้อความจากเรื่องราวแห่งหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าจะชักส่วนของผู้นั้นไปเสียจากต้นไม้แห่งชีวิตและจากเมืองบริสุทธิ์นั้น และจากข้อความเหล่านั้นที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้" (วิวรณ์ 22.18-19) ให้เราทั้งหลายมีความกล้าหาญที่จะสลัดคำสอนของมนุษย์ไปเสีย และประพฤติตามคำสอนและคำสั่งของพระเจ้าตามแบบฉบับที่เราอ่านพบในพระคริสตธรรมใหม่เท่านั้น