บทที่ 1

บทที่1

 พระเยซูเป็นผู้ใด

    พระเยซูเป็นผู้ใด?  มีความสำคัญอย่างไร?  คนส่วนมากได้ยินแต่ชื่อ  แต่ยังไม่สนใจที่จะเรียนรู้ให้แน่ชัดมากขึ้น  การไม่รู้ซึ้งนั้นทำให้คนเข้าใจผิด ๆ  พระเยซูไม่ใช่บุคคลที่สมมุติขึ้น  พระองค์ทรงมีตัวตนจริง ๆ ในประวัติศาสตร์

    ชีวิตและพระราชกิจของพระเยซูน่าสนใจมาก  จุดเด่นที่สำคัญคือว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์สามวันแล้วจึงทรงเป็นขึ้นมาจากตาย  นี่แสดงว่พระองค์ไม่ใช่เป็นเพียงศาสดาเอกของโลก  ไม่ใช่มนุษย์ที่ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป  ไม่ใช่นักปราชญ์  แต่ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  ซึ่งได้ถ่อมพระองค์ลงมาบังเกอดในโลกอุบัติมีรูปกายเหมือนมนุษย์  และในที่สุดได้ยอมพลีพระชนม์เพื่อลบล้างบาปของมนุษยื
    เปาโลผู้เป็นอัครสาวกคนหนึ่งของพระเยซูได้กล่าวไว้ก่อนถูกตัดศีรษะว่า "แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าจึงทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาให้ประสูติ แต่สตรีและบังเกิดใต้พระบัญญัติ เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นซึ่งอยู่ใต้พระบัญญัติ เพื่อเราจะได้กลับคืนเข้าตำแหน่งเป็นบุตร" (ฆะลาเตีย 4.4-5,  ดูมัดธาย 1.21, 2.1)

พระเยซูก่อนเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้
    ผู้เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์มีประมาณ 40 คน  ซึ่งผู้เขียนทุกคนเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ได้สถิตอยู่แล้วก่อนสิ่งสารพัดในจักรวาลและโลกนี้จะเกิดขึ้น  "เพระว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ในท้องฟ้าก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี  สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา "(โกโลซาย 1.16)  ดูข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ ประกอบ โยฮัน 1.1, 17.5-24,  เยเนซิศ 1.26,  โรม 11.33,  วิวรณ์ 4.8-11,  เฮ็บราย 1.2

การกำเนิดของพระเยซูคริสต์เจ้าในโลกนี้
    พระเจ้าทรงมีพระดำริแต่เดิมแล้วที่จะให้พระเยซูพระบุตรของพระองค์มาบังเกิดในโลกนี้  จุดประสงค์เพื่อจะไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน  มนุษย์เป็นคนบาปไม่มีอะไรในโลกนี้จะช่วยให้มนุษย์พ้นจากบาปได้  ในสมัยโบราณพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยโครงการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาปเป็นครั้งคราว  เช่น ทรงสัญญาว่าจะมีพระมหากษัตริย์มาบังเกิด,  จะมีพระผู้ช่วยให้รอด,  จะมีอาณาจักรบังเกิดขึ้น  เป็นต้น   ยะซายา 7.14 ได้พยากรณ์ไว้เมื่อ 726 ก.ค.ศ.  "เพราะฉะนั้น พระยะโฮวาพระองค์เองจะให้เจ้ามีหมายสำคัญ  นี่แน่ะหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรเป็นชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกชื่อบุตรนั้นว่า อีมานูเอล"

การกำเนิดของพระเยซูที่หมู่บ้านเบ็ธเลเฮ็ม
    การกำเนิดของพระเยซูมิใช่เป็นเยี่ยงสามัญชนธรรมดา  แต่เป็นไปโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ไม่ได้มีการร่วมรู้กับชายใด  ทูตสวรรค์ฆับรีเอลได้บอกกับนางมาเรียว่า  พระเจ้าได้ทรงเลือกนางเพื่อให้พระกุมารเยซูกำเนิด  และในที่สุดเธอก็ได้ตั้งครรภ์  ในขณะที่เธอตั้งครรภ์, กายะซาออฆูซะโตแห่งอาณาจักรโรมมีรับสั่งให้พลเมืองเสียภาษีทุกคนต้องกลับไปถิ่นกำเนิดของตน  โยเซฟซึ่งเป็นคู่หมั้นของนางมาเรียอาศัยอยู่ตำบลนาซาเร็ธ  แต่บ้านเกิดเดิมอยู่ที่เบ็ธเลเฮ็ม  เมื่อมีรับสั่งทั้งสองจึงเดินทางไปหมู่บ้านเบ็ธเลเฮ็ม  ณ ที่นั่นเอง พระกุมารเยซูได้กำเนิดในรางหญ้าเพราะไม่มีที่ว่างในโรงแรม
    เฮโรดกษัตริย์ในมณฑลยูดาทราบจึงได้รับสั่งให้ฆ่าทาราอายุตั้งแต่ 2 ขวบลงมา  แต่ทูตสวรรค์ได้บอกโยเซฟและนางมาเรียนให้หนีไปอียิปต์เสียก่อน  หลักจากเฮโรดสิ้นชีวิตแล้วโยเซฟกับนางมาเรียนก็ได้พาพระกุมารเยซูกลับไปอาศัยอยู่ที่นาซาเร็ธ  พระกุมารเยซูได้ทรงเจริญวัยตามแบบมนุษย์ทั่วไป   ทั้งฝ่ายร่างกาย, สติปัญญา, เป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้าและต่อสังคม (ลูกา 2.52)

พระราชกิจของพระเยซูคริสต์เจ้า
    เมื่อพระเยซูมีพระชนม์มายุได้ 30 พรรษาพระองค์ได้ทรงรับบัพติศมา (จุ่มลงในน้ำ) จากโยฮัน บัพติศโต  หลังจากที่พระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้วมารได้ทดลองพระเยซูให้ละทิ้งโครงการของพระเจ้าเสีย  ภายหลังที่พระองค์ทรงอดพระกะยาหารมาแล้ว 40 วัน  มารทดลองพระองค์ด้วยเรื่องอาหารการกิน  เรื่องอำนาจในโลก  และการอวดอ้างต่าง ๆ  แต่ที่สุดพระเยซูทรงเอาชนะมารได้โดยใช้พรดำรัสของพระเจ้า (มัดธาย 3.13-17, 4.4-11)

การเลือกอัครสาวก
    ต่อจากนั้นพระองค์ได้ทรงเริ่มทำการสั่งสอนในที่สาธารณะ  และได้ทรงเลือกอัครสาวก 12 คน มีรานามดังต่อไปนี้ คือ  1.ซีโมน หรือ เปโตร แปลว่า หินก้อนเล็ก ๆ  2.อันดะเรอา น้องชาย  3.ยาโกโบ บุตรเซเบดาย  4.โยฮัน น้องชาย  5.ฟิลิป  6.นะธันเอล หรือ บาร์โธโลมาย  7.มัดธาย คนเก็บภาษี  8.โธมา  9.ยาโกโบ บุตรของอาละฟาย  10.ยูดาบุตรยาโกโบ  11.ซีโมน ซีโลเต  12.ยูดา อิศการิโอด ผู้มอบพระเยซูให้ศัตรูในที่สุด
    อัครสาวกเหล่านี้มีชีวิตใกล้ชิดกับพระเยซูเป็นเวลาสามปีครึ่ง  ภายในระยะเวลาสามปีครึ่งนี้พวกเขาได้รับอิทธิพลอย่างซาบซึ้งจากชีวิตของพระเยซู  คนพวกนี้ได้เห็นพระเยซูสำแดงความรัก  ความเมตตา  เห็นอิทธิฤทธิ์ของพระเยซูในการรักษาโรค  ในการปลุกคนที่ตายให้เป็นขึ้นมา  ทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติ  ได้ฟังคำสอนอย่างลึกซึ้งของพระเยซูแก่ฝูงชนนับเป็นหมื่น ๆ  ความจริงที่อัครสาวกได้เห็นกับตา  ทำให้เขาทั้งหลายยอมสละชีวิตเพื่อประกาศความจริงนี้  ไม่ใช่เฉพาะอัครสาวกเท่านั้น  มีคนจำนวนมากที่เชื่อถือในพระเยซูได้ยอมสละชีวิตของเขาเพื่อพระองค์ด้วย

ชีวิตฝ่ายสังคมโลกนี้
    พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีชีวิตครบถ้วนในสังคมเยี่ยงสามัญชนที่ดีคนหนึ่ง  พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของพลเมืองที่ดีในประเทศ  เช่น การเสียภาษีโดยไม่หลีกเลี่ยง แม้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  แต่พระองค์ก็มิได้ทรงทอดทิ้งความต้องการของสังคม  พระองค์ได้เสด็จออกกระทำคุณ, ได้เยี่ยมเยียน, สั่งสอน, ให้กำลังใจแก่ผู้ที่ท้อแท้ในชีวิต, ช่วยรักษาคนเจ็บป่วยและคนพิการให้หาย  พระเยซูตรัสว่า "บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา  และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข" (มัดธาย 11.28)  บางครั้งพระองค์เปรียบมนุษย์เหมือนลูกแกะ ซึ่งพระองค์เองทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะ  "แต่เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงพระกรุณาเขา  ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง" (มัดธาย 9.36)
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 1  คลิกที่นี่

บทที่2